การตรวจโรคและพยากรณ์โรคจากดวงตา

ตำราแพทย์แผนจีนกล่าวถึงดวงตาไว้หลายประการ ดังนี้
“ดวงตาเป็นประตูของตับ และมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในจั้งฝู่”
“จิงซี่ พลังของสารจิงของอวัยวะภายใน ล้วนไหลมาบรรจบกันที่ดวงตา”
“นัยน์ตาเป็นเครื่องวัดความฉลาด ไหวพริบ และประสาทแห่งความรู้สึกของคนได้อย่างแท้จริง เพราะสามารถอ่านอุปนิสัย อารมณ์ และความรู้สึกของคนได้จากนัยน์ตาเป็นจุดแรก”

การตรวจโรคและพยากรณ์โรคจากดวงตา
1. ดูประกายราศี ความมีชีวิตชีวาของดวงตา

การมองเห็นชัดเจน ขอบตาดำตาขาวแบ่งกันชัดเจน มีประกายแสงซ่อนอยู่ภายใน มีน้ำตาหรือน้ำหล่อเลี้ยงตาคลอเบ้าเล็กน้อย (ตาไม่แห้งผาก) เรียกว่าตามีชีวิตชีวา มีราศี ถ้ากำลังป่วยเป็นโรค โรคก็สามารถรักษาให้หายได้ เพราะพลังชีวิตยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ตรงกันข้าม ถ้าการมองเห็นพร่ามัว ตาขาวไม่ขาวสะอาด ขอบตาดำตาขาวสีแบ่งไม่ชัดเจน ดวงตาขุ่นมัวไม่มีประกาย ไม่มีน้ำตาหรือน้ำหล่อเลี้ยงตา (ดวงตาแห้งผาก) เรียกว่าตาที่ไร้ชีวิตชีวา ขาดราศี ถ้ากำลังป่วยเป็นโรค ก็จะรักษาให้หายยาก เพราะพลังชีวิตอ่อนแอ

2. ดูสีของดวงตา

ถ้าตาแดงก่ำและบวมทั้งดวงตา แสดงว่า เป็นลมร้อนของเส้นตับหรือไฟตับขึ้นสู่เบื้องบน ซึ่งมีอาการปวดหนักศีรษะ เวียนศีรษะ หงุดหงิดโกรธง่าย หูไม่ได้ยิน หน้าแดง ตาแดง ปากขม คอแห้ง ปวดแน่นชายโครง

ถ้าเปลือกตาแดงและอักเสบ แสดงว่า มีความร้อนสะสมที่ม้าม กระเพาะอาหาร ซึ่งมักมีพื้นฐานจากการบริโภคอาหารผิดหลัก เช่น กินอาหารมัน นม เนย ช็อกโกแลต หรือคุณสมบัติร้อนมากเกินไป กินอาหารก่อนนอน อาหารไม่ย่อย สะสมเป็นความร้อน ความชื้น
 
ตาขาวบริเวณหางตาและหัวตามีสีซีดเกินไป ไม่มีเส้นเลือด หรือเลือดมาเลี้ยงน้อย แสดงว่าโลหิตจางหรือขาดเลือดและพลัง

ตาขาวมีสีเหลือง แสดงว่าเป็นภาวะดีซ่าน เป็นเพราะภาวะร้อนชื้นของระบบตับและน้ำดี ทำให้น้ำดีไหลสู่ภายนอกถุงน้ำดี กระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

3. ดูลักษณะสภาพส่วนต่าง ๆ ของดวงตา
บริเวณหนังตา มีลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนี้
• บวมและกดเจ็บ มักเกิดจากปัจจัยภายนอกแกร่ง เช่น การติดเชื้อ การอักเสบ
• บวมแต่ไม่เจ็บ มักเกิดจากบวมน้ำ ถ้าเป็นทั้งตาบน ตาล่าง อาการบวมค่อย ๆ เป็น และกล้ามเนื้อหนังตาอ่อนแรง แสดงว่าระบบม้ามพร่อง ไม่สามารถลำเลียงน้ำและความชื้นในระบบได้
• ถ้าขอบตาล่างบวมน้ำ แสดงว่าระบบม้ามไตพร่อง พบในคนสูงอายุ หรือคนที่ไตทำหน้าที่ไม่ดี

บริเวณตุ่มก้อนของเปลือกตาด้านใน
 มีลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนี้
• ก้อนเล็กสีแดงและแข็ง แสดงว่าร้อนแทรกความชื้นร่วมกับการอุดกั้นของเลือดและพลัง
• ก้อนสีแดงคล้ายไข่วางเรียงเป็นปุ่ม ๆ คันมาก แสดงว่า มีลมร้อนชื้น ทำให้เกิดการรวมตัวเป็นก้อน (คล้ายริดสีดวงตา)
• ก้อนสีเหลืองขาวคล้ายก้อนหิน แสดงว่า สารน้ำถูกเผา ทำให้เสมหะชื้นตกค้างรวมตัวกัน
• ตาบุ๋มเข้าข้างใน แสดงว่า มีการเสียน้ำ เช่น ท้องเสียหรืออาเจียนในกรณีเฉียบพลัน ถ้าเป็นเรื้อรัง แสดงว่า สารน้ำและเลือดพร่องไม่หล่อเลี้ยงที่ตา จิงชี่ของอวัยวะภายในพร่อง ระบบของร่างกายเสื่อมทรุด

ลักษณะตาโปนออกนอก มีลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนี้
• คอโต ใจสั่น กินมาก ผอม นึกถึงภาวะไทรอยด์เป็นพิษ
• ถ้าคอโต เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ ใจสั่น ริมฝีปากเขียว บ่งบอกว่า มีน้ำท่วมปอด
• ถ้าคอโตเฉพาะที่โดยไม่ปรากฎอาการ ให้ระวังก้อนเนื้องอกนสมอง
• ตาดำโต มีประกาย แสดงว่า เลือดของตับดี เกี่ยวข้องกับเอ็น การเคลื่อนไหว สุขภาพ จิตใจ ความรู้ สติปัญญา ประจำเดือนดี
• ตาดำเล็กสีน้ำตาล ห่อเหี่ยว แสดงว่า เลือดตับไม่พอ จิตอารมณ์ถูกกระทบ มีปัญหาประจำเดือน เป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว สำส่อนทางเพศ (เสียเลือดของตับ)
• กลางตาดำ (เลนส์แก้วตา) ขุ่นมัว ได้แก่ ต้อกระจก มักเกิดจากความพร่อง โดยเฉพาะยินของ ตับ-ไตพร่อง ไฟหัวใจขึ้นสู่เบื้องบน

4. การเคลื่อนไหวที่ดวงตา
ข้อสังเกตการเคลื่อนไหวบริเวณเปลือกตาที่สัมพันธ์กับภาวะโรคต่าง ๆ มีดังนี้
• เปลือกตาบนตก ลืมตาไม่ขึ้น มักเกิดจากพลังของม้ามและกระเพาะอาหารพร่อง หรือลมกระทบเส้นลมปราณ พบในพวกกล้ามเนื้อใบหน้าอัมพาต
• กล้ามเนื้อและผิวหนังเปลือกตากระตุก มักเกิดจากเลือดพร่องทำให้เกิดลม
• หนังตากระพริบ มักเกิดจากสารยินและสารน้ำในร่างกายไม่พอ ถ้าพบในเด็กเล็ก มักเป็นในระยะแรกของการขาดสารอาหาร
• กลัวแสง น้ำตาไหล มักเกิดจากการอักเสบ การติดเชื้อ หรือการกระทบจากปัจจัยภายนอก
• กลัวแสง ปิดตาเล็กน้อย มักเกิดจากเสมหะร้อนภายใน
• ตาเหลือกขึ้นบน หรือตาเข พบมาแต่กำเนิด หรือกรณีชัก (ลมตับภายในแปรปรวน หรืออาการโรครุนแรง)
• นอนหลับตาไม่สนิท เกี่ยวข้องกับม้ามพร่อง พลังหยางบริสุทธิ์ไม่ไปเลี้ยงสมอง กล้ามเนื้อตาขาดอาหารหล่อเลี้ยง ทำให้ขาดการควบคุมการเปิด-ปิดหนังตา

5. ดูการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รอบตาขาว
ปกติตาขาวของคนเราจะมีแขนงเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ทั้งแนวตรง แนวขวางตัดกัน ตาขาวชั้นนอกจะมีประกายแสงสามารถมองทะลุผิวได้ ตาขาวส่วนที่อยู่ลึกลงไปมีลักษณะเหนียว มีเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ปรากฏให้เห็นเพียงลาง ๆ ไม่ชัดเจน ในเด็กเล็กที่ไม่มีโรค ตาขาวจะดูสะอาดหมดจด มองแทบไม่เห็นการแตกสาขาของเส้นเลือดฝอย ถ้ามีการเกิดโรคไม่ว่าจากภายนอกสู่อวัยวะภายใน หรือจากอวัยวะภายใน ล้วนสามารถสะท้อนออกมาให้เห็นและตรวจสอบความผิดปกติได้