อาการปวดประจำเดือน สำหรับผู้หญิงหลายคนอาจจะมองเป็นเรื่องธรรมดาที่พบได้ทั่วไป โดยเฉพาะในวัยรุ่นสาวๆ แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า อาการปวดประจำเดือนในวัยรุ่นสาวๆ หรือแม้กระทั่งวัยเลยคำว่า “สาว” มานานแล้ว แต่ยังมีอาการปวดประจำเดือนอยู่นั้น คือสัญญาณเตือนภัยที่น่ากลัว
บางคนเมื่ออายุยังน้อยๆ และมีอาการปวดประจำเดือน เมื่อไปตรวจส่วนใหญ่ก็คงจะไม่พบความผิดปกติอะไร แต่หากอายุมากขึ้นและยังปวดประจำเดือนอยู่ คราวนี้ไปตรวจอาจพบว่ามีก้อนเนื้องอกเกิดขึ้น วิธีคิดแบบนี้หมายความว่า เนื้องอกป้องกันลำบาก เพราะเมื่ออายุมากขึ้นก็จะต้องเกิด ถ้าเป็นมากก็ตัดออก หรือในบางรายที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกงอกผิดที่ บางทีก็มีพังผืดยึดเกาะ บ้าง ยึดติดกับลำไส้ ก็ตัดได้ลำบาก แต่บางคนที่อายุสูงขึ้นกว่านั้น มองว่าไม่ใช้มดลูกแล้วก็อาจจะพิจารณาตัดมดลูกยกออกออกทั้งยวงเลย
ประเด็นสำคัญก็คือ เนื้องอกที่เกิดขึ้นนั้น หากพิจารณากันให้ดีๆ มองให้ต่อเนื่องจะเห็นว่า จริงๆ แล้วคนส่วนใหญ่ในช่วงระยะแรกๆ ก็ยังไม่เป็นก้อนเนื้องอก เพียงแต่เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งมักจะมาตรวจพบในภายหลัง ซึ่งเนื้องอกที่เกิดขึ้นมานี้ ก็คือผลที่ต่อเนื่องมาจากอาการเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงออกให้เห็นในช่วงแรกๆ เช่น อาการปวดประจำเดือนนั่นเอง ซึ่งในทางแพทย์จีนเชื่อว่า สาเหตุใหญ่ๆ ของการเกิดเนื้องอกที่มีสัญญาณเตือนจากภาวะปวดประจำเดือนนั้น มักจะเกิดจากความไม่สมดุลของร่างกายที่มีพื้นฐานหลักๆ อยู่ 3 แบบคือ
1.กลุ่มที่มีเลือดและพลังพร่อง หรือเลือดและพลังไม่พอ
คนกลุ่มนี้ในเวลาปกติมักจะเป็นคนที่มีประจำเดือนน้อยอยู่แล้ว หน้าตามักจะซีดเซียว ใบหน้าดูไม่ค่อยมีสีเลือด ลิ้นมักจะมีสีออกซีดๆ ถือเป็นกลุ่มที่มีพื้นฐานเป็นคนที่มีเลือดและพลังไม่พอ มักเป็นคนที่เหนื่อยง่าย นอนไม่ค่อยหลับ ไม่ค่อยมีแรง หายใจตื้น หายใจไม่ลึก คนกลุ่มนี้เมื่อมีประจำเดือนร่างกายจะยิ่งเกิดภาวะพร่องมากขึ้น ทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณมดลูกมีน้อยลง (ลักษณะคล้ายๆ กับการขาดเลือด) จึงทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนขึ้น
วิธีการแก้ไขในทางแพทย์จีนก็คือ การให้ยาจีนที่มีสรรพคุณช่วยเสริมให้มีเลือดและพลังเพียงพอ ก็จะทำให้คนกลุ่มนี้มีเลือดและพลังดีขึ้น สังเกตว่าจะสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น เวลาประจำเดือนมาก็จะไม่ปวด เพราะเลือดที่มาหล่อเลี้ยงมดลูกมีเพียงพอ ส่วนการรักษาด้วยการฝังเข็มเพื่อแก้อาการปวดประจำเดือน หรือเพื่อกระตุ้นพลัง ก็คือการฝังเข็มที่จุด “ชี่ไห่” ซึ่งอยู่ใต้สะดือลงมา 1.5 นิ้ว หรือ 1.5 ชุ่น เป็นจุดเสริมพลัง ซึ่งเป็นจุดของตำแหน่งพลังลมปราณที่จะมีเส้นลมปราณสองเส้นมาเชื่อมกันคือเส้นลมปราณ “เริ่นม่าย” และ “ชงม่าย” ใช้วิธีกดนวดเบาๆ หรือให้ความร้อนตรงจุดนี้อยู่เป็นประจำ จะทำให้ร่างกายเกิดพลัง และช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ การกดจุด หรือนวดบริเวณหน้าแข้ง ในตำแหน่งที่เรียกว่าจุด “จู๋ซานหลี่” ซึ่งอยู่ใต้ข้อเข่าลงมา 3 ชุ่น ทางด้านข้างหน้าแข้ง ห่างจากหน้าแข้งประมาณ 1 นิ้ว หากนวดบ่อยๆ ตรงจุดนี้จะสามารถป้องกันอาการปวดประจำเดือนได้ นอกจากนี้ควรพยายามกินอาหารในลักษณะที่เสริมพลังเป็นหลัก ใช้ยาจีนร่วมกับ เช่น บางคนอาจกินโสมตังเซิน หรือโสมคน หรือตังกุย เข้าไปช่วยเสริมพลังและเลือด ทำให้ไม่ปวดประจำเดือน เป็นต้น
2. กลุ่มที่เกิดจากพลังตับอุดกั้น
คนกลุ่มนี้เวลามีประจำเดือนก็มักจะมีอาการคัดหน้าอก เลือดที่ออกมามักจะเป็นก้อน เป็นคนที่มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย ชอบถอนหายใจ อารมณ์แปรปรวน ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันมักจะมองว่าการมีอารมณ์หงุดหงิดนั้นเป็นเพราะมีประจำเดือน เป็นช่วงฮอร์โมนแปรปรวน ซึ่งจะต่างจากแพทย์จีนที่มองในทางกลับกันคือ คนที่มีพื้นฐานหงุดหงิดนั่นแหละ จะทำให้ประจำเดือนมีปัญหา เพราะอารมณ์ที่หงุดหงิดส่งผลให้พลังตับอุดกั้น ประจำเดือนจึงมีปัญหา ด้วยเพราะความหงุดหงิดนั้นจะไปกดพลังตับ และยังทำให้ลมปราณเดินไม่ดี ในขณะที่ร่างกายมีเส้นลมปราณที่ผ่านมดลูกและเต้านม เมื่อลมปราณเดินไม่ดี ก็ทำให้เวลามีประจำเดือน เกิดอาการคัดแน่นหน้าอก และปวดท้องน้อย นอกจากนี้ในบางคนยังอาจมีสังเกตเห็นลิ้นมีสีออกม่วงๆ หรือมีอาการขาด้านข้างตึงง่าย และเจ็บตึงๆ แถวชายโครงด้วย
จะเห็นว่าอาการปวดประจำเดือนนั้น ปวดเหมือนกัน แต่สาเหตุที่ปวดต่างกัน กลุ่มแรกปวดเพราะพลังพร่อง แต่กลุ่มนี้ปวดเพราะพลังตับอุดกั้น ดังนั้นวิธีการรักษาจึงต้องต่างกัน ในกลุ่มนี้หากให้ยารักษาที่ไปช่วยทำให้พลังตับไม่อุดกั้นก็จะสามารถทำให้ประจำเดือนมาโดยไม่ปวดได้ และยังทำให้อารมณ์ดีขึ้นด้วย ตำรับยาที่จะใช้บำรุงก็คือ “เซียวเหยาหวาน” ซึ่งเป็นยาที่มีสรรพคุณช่วยคลายอารมณ์ ลดการอุดกั้นของพลังตับ ช่วยสลายพลังอุดกั้น ทำให้รับประทานได้ดีขึ้น อารมณ์ไม่หงุดหงิด เวลามีประจำเดือนจะไม่คัดหน้าอก และไม่ปวดท้องน้อย
3. กลุ่มมดลูกเย็น เลือดเย็น หรือพลังไตพร่อง (หยางพร่อง)
คนกลุ่มนี้ปกติมักจะขี้หนาว ปกติสีหน้าจะมีลักษณะออกดำๆ หน้าขมุกขมัว เรียกว่าเย็นจนคล้ำดำเพราะเลือดไม่เดิน มักขี้หนาว เมื่อยหลัง เมื่อยเอว มือเท้าเย็น ประจำเดือนมักมาน้อย และเลือดมักจะเป็นก้อน เพราะเป็นพวกมดลูกเย็น ดังนั้นเมื่อกินน้ำเย็น โดนน้ำเย็นเมื่อไรก็มักจะมีอาการปวดท้องน้อย ซึ่งเป็นลักษณะที่รุนแรงกว่ากลุ่มแรก เพราะท้องน้อยเป็นทางเดินของเส้นลมปราณ “ชง” กับเส้นลมปราณ “เริ่น” เจอความเย็นเมื่อไรก็จะทำให้เลือดและพลังเดินไม่ดี ยิ่งหากกินของเย็น ของขม หรือชาเขียว โดยเฉพาะชาเขียวแช่เย็น ก็จะยิ่งทำให้มดลูกเย็นมากขึ้น อาการปวดจึงยิ่งมากขึ้น สังเกตง่ายๆ คนที่อยู่ในกลุ่มนี้มักจะเป็นพวกขี้หนาว ขนาดหน้าร้อนคนอื่นเขาร้อนกันเหงื่อแตก แต่พวกนี้กลับเย็นสบายดี แต่พอเปิดแอร์ปุ๊บพวกนี้จะหนาวก่อนเพื่อน อย่างนี้ก็ทำให้ปวดได้…นี่คือลักษณะร่างกายของเขา
วิธีการรักษาสำหรับกลุ่มนี้ ก็จะต้องเสริมพลังหยางเข้าไปในร่างกาย เลือกจุดจุด “กวนหยวน” นี้จะอยู่ใต้สะดือลงมา 3 ชุ่น ตำรับยาสมุนไพรที่ใช้คือ “ปู่เซิ่นหวาน” ที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงไต ทำให้เกิดความร้อนขึ้นในร่างกาย มดลูกไม่เย็น และยังมีตัวยาอีกหลายตัวที่ช่วยทำให้มดลูกไม่เย็น เช่น รกคน เขากวางอ่อน เป็นต้น
ทั้งหมดที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่า แพทย์จีนมองอาการปวดประจำเดือนว่า มีที่มาจากสาเหตุที่แตกต่างกัน การจะมีอาการปวดหรือไม่ปวดประจำเดือนนั้น เกิดจากพื้นฐานของร่างกายว่ามีความสมดุลหรือไม่ การรักษาจึงต้องมีความแตกต่างกัน ไม่ใช่รักษาด้วยการกินยาแก้ตามอาการเท่านั้น เพราะพื้นฐานร่างกายที่เสียสมดุลไม่ได้แสดงออกที่อาการปวดเพียงอย่างเดียว แต่อาการปวดประจำเดือนก็เป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่าร่างกายกำลังขาดความสมดุล และการที่มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะใดไม่ดีนั้น ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดก้อน เป็นเสมหะที่คั่งค้าง หรือเลือดอุดตัน ซึ่งในระยะยาวอาจกลายเป็นก้อนเนื้อหรือมะเร็งได้
อาการปวดประจำเดือนจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาในทรรศนะของแพทย์จีน และก้อนเนื้อกับอาการปวดประจำเดือนจึงเกี่ยวข้องกันด้วยประการฉะนี้