อาการปวดกล้ามเนื้อเอ็นกระดูก กับอาการปี้เจิ้ง (痹症) ในทัศนะแพทย์แผนปัจจุบัน กับแพทย์แผนจีน

อาการปวดกล้ามเนื้อเอ็นกระดูก กับอาการปี้เจิ้ง (痹症) ในทัศนะแพทย์แผนปัจจุบัน กับแพทย์แผนจีน

เมื่อพูดถึงอาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก  (Musculoskeletal Pain) ในความหมายของการแพทย์แผนปัจจุบัน คือ ความรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและกระดูกในส่วนต่างๆ ของร่างกายทั่วตัว ที่พบบ่อย เช่น ปวดหลัง ปวดเอว ปวดไหล่ ปวดต้นคอ เป็นต้น ส่วนใหญ่พบแพทย์ก็ตรวจไม่พบความผิดปกติใดๆ อาการปวดก็เป็นๆ หายๆ อยู่คู่กับเราไปตลอด

 

สาเหตุและประเภท

  1. จากการใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไปหรือเคลื่อนไหวในท่าเดิมซ้ำๆ ทำให้เกิดความตึงเครียดสะสมที่กล้ามเนื้อ รวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันจนทำให้กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บ เช่น การออกกำลังกาย การทำงาน
  2. กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด (Myofascial pain syndrome หรือ MPS) วินิจฉัยจากประวัติมีอาการปวดกล้ามเนื้อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย ตรวจพบจุดปวดที่ไวต่อการกระตุ้น (Trigger point) คลำได้ก้อนหรือไตแข็งๆในกล้ามเนื้อที่ตึง (Taut band)
  3. กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและเนื้อเยื่ออ่อนทั่วร่างกาย (Fibromyalgia) อาการปวดทั่วตัวมานานกว่า 3 เดือน ต้องมีจุดกดเจ็บประมาณ 11 จาก 18 จุด โดยเป็นทั้งซีกซ้าย และซีกขวาของร่างกาย ทั้งเหนือเอว ใต้เอว และต้องมีอาการปวดกล้ามเนื้อกลางลำตัว คือ คอ หน้าอก ทั้งหลังส่วนบนและส่วนล่าง และอาจมีอาการอ่อนเพลียร่วมด้วย
  4. กลุ่มอาการความล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome) หรืออาการอ่อนเพลีย อ่อนล้าของร่างกายเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อย เช่น เบาหวาน โรคของต่อมไทรอยด์ โรคหัวใจ ภาวะติดเชื้อ โรคมะเร็ง เป็นต้น
  5. ภาวะอักเสบเรื้อรังของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืดทั่วร่างกาย (Polymyalgia rheumatic หรือ PMR) ร่วมกับการตรวจการอักเสบของเลือดโดยการดูค่าการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (Erythrocyte sediment rate: ESR) สูงมากกว่า 40 มม./ชั่วโมง
  6. สาเหตุจากโรคแพ้ภูมิตนเอง เช่น โรคเอส แอล อี (Lupus Systemic Lupus Erythematosus)
  7. เกลือแร่ในเลือดไม่สมดุล (Electrolyte Imbalance) เช่น ปริมาณแคลเซียมหรือโพแทสเซียมในร่างกายน้อยเกินไป หาสาเหตุได้โดยการตรวจเลือดหรือปัสสาวะ
  8. การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาลดไขมันในกลุ่มสแตติน (Statins)

 

แนวทางการป้องกันและรักษา

  • กรณีมีอาการปวดเมื่อยที่พอทนได้ ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว หรือต่อการทำงาน แนะนำให้ใช้การบีบนวด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การปรับท่าทางในการทำงานให้เหมาะสม และพักผ่อนให้เพียงพอ มากกว่าใช้ยาแก้ปวด
  • การใช้ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาเมื่อมีอาการปวด เป็นเพียงแค่การรักษาตามอาการเท่านั้น ไม่ได้รักษาสาเหตุของโรค และถ้าใช้ยาแก้ปวดไม่เหมาะสม ก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงของยาได้ เช่น แผลในกระเพาะอาการ โรคไต หรือการแพ้ยา
  • ถ้าอาการปวดนั้นรุนแรงมาก และเป็นขึ้นอย่างเฉียบพลัน ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว และ/หรือต่อการทำงาน อาจทานยาแก้ปวด ได้แก่ ยาพาราเซตามอล หรือ กลุ่มยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDS ) เช่น ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) เพื่อบรรเทาอาการปวดการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ
  • การทำกายภาพบำบัดโดยการนวด การยืดกล้ามเนื้อ การใช้ความร้อนประคบ และการใช้คลื่นความร้อนนวด
  • พักผ่อนร่างกายจากกิจกรรมที่เป็นสาเหตุของอาการปวดกล้ามเนื้อ
  • ประคบร้อนและประคบเย็น ในช่วง 1 – 3 วันแรก ประคบเย็นด้วยน้ำแข็งห่อผ้าในบริเวณที่มีอาการปวดของกล้ามเนื้อ หลังจากนั้นประคบร้อนเพื่อบรรเทาอาการและลดการอักเสบ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *