พื้นฐานแพทย์แผนจีน

ฉีดยาเข้าจุดฝังเข็ม รักษาโรคได้จริงหรือ?

พูดถึงการฉีดยา เรามักคุ้นเคยกับการฉีดยาที่ต้นแขน สะโพก การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำที่หลังมือ หรือแขน ยาที่ฉีดก็คิดถึงยาแผนปัจจุบัน ถ้ามีหมอเกิดเอายาฉีดที่เป็นสมุนไพร หรือยาแผนปัจจุบัน หรือบางครั้งเอาเลือดที่ดูดจากคนไข้คนเดียวกันฉีดเข้าไปในตัวคนไข้เอง ฉีดเข้าไปตำแหน่งอื่น เช่น ที่หน้าแข้ง หรือจุดต่างๆ ตัว แขน ขา ลำตัว ต้นคอ คงทำให้หลายคนแปลกใจ หรือสงสัยว่าได้มาตรฐานหรือเปล่า หรือมีเหตุผลอะไรรองรับ การฉีดยาเข้ากล้ามสะโพก ที่ต้นแขน หรือสะโพก ในทรรศนะแพทย์แผนปัจจุบัน ต้องการให้ยาดูดซึมผ่านหลอดเลือดบริเวณที่มีกล้ามเนื้ออุดมสมบูรณ์ เพื่อยาจะดูดซึมได้ดี และหลีกเลี่ยงการทำลายถูกเส้นประสาท ทั้งเป็นตำแหน่งที่สะดวกในการฉีดด้วย การฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังสามารถฉีดได้หลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่ก็นิยมฉีดตามแขน หัวไหล่ ฉีดยาเข้าจุดฝังเข็มมีประวัติยาวนานแค่ไหน?ในตำราศาสตร์แผนจีนสมัยโบราณ มีแต่การแทงเข็มหรือฝังเข็ม โดยใช้เข็มที่ทำจากหินในระยะแรก ภายหลังพัฒนาเป็นการใช้โลหะ ปัจจุบันใช้เป็นสเตนเลสแทงเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้ถึงจุดฝังเข็มจนกระทั่งได้ความรู้สึกที่เรียกว่า “ได้ลมปราณ”  เพื่อให้มีการกระตุ้นการไหลเวียนของพลังลมปราณที่ตำแหน่งนั้น และสามารถส่งผ่านไปตามเส้นลมปราณไปยังส่วนอื่นๆ รวมถึงอวัยวะภายใน การฉีดยาเข้าจุดฝังเข็ม เขาเรียกว่า สุ่ยเจิน เป็นวิธีที่เริ่มต้นมาประมาณ 60 ปีเศษ เป็นผลของการพัฒนาศาสตร์แพทย์แผนจีนที่ได้ประยุกต์ และบูรณาการการแพทย์แผนปัจจุบันเข้าด้วยกันเช่นเดียวกับการฝังเข็มหู การใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าแทนการกระตุ้นด้วยการใช้มือหมุนเข็ม การฝังเข็มศีรษะ ทำไมต้องฉีดยาเข้าจุดฝังเข็ม วิธีนี้มีข้อเด่นอย่างไร?การฉีดยาเข้าจุดฝังเข็ม ใช้หลักทฤษฎีพื้นฐานแพทย์แผนจีนชี้นำ คือ การกระตุ้นจุดฝังเข็มกระตุ้นการไหลเวียนของเส้นลมปราณโดยผ่านจุดฝังเข็ม …

ฉีดยาเข้าจุดฝังเข็ม รักษาโรคได้จริงหรือ? Read More »

หลอดลมอักเสบเรื้อรัง

ปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ซึ่งจะเป็นมากในฤดูฝนและฤดูหนาวสาเหตุที่เกิดยังไม่ชัดเจน แต่คนที่สูบบุหรี่จัดจะเป็นมาก เมื่อเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง จะทำให้ผิวหลอดลมและหลอดลมฝอย มีการบวมหนามีการหลั่งเมือกหรือเสมหะออกมามากกว่าปกติ มีผลให้หลอดลม มีลักษณะตีบแคบลงทำให้ลมหายใจเข้า-ออกได้ยากลำบาก ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการไอและมีเสลดติดต่อกันนานกว่า ๖ เดือนขึ้นไป หรือเป็นอย่างน้อย ปีละ ๓ เดือนติดต่อกัน ๒ ปีขึ้นไป ถ้าเป็นมากๆ จะไอถี่ เสลดจะเป็นสีขาว เหลือง เขียว บางครั้งมีไข้ หรือเลือดปน ถ้าเป็นนานๆ ก็จะเป็นหอบ เหนื่อย ร่วมด้วย หรือร่วมกับถุงลมพอง โรคหัวใจ การแพทย์แผนปัจจุบัน การรักษามักจะใช้ยาละลายเสมหะ ยาแก้ไอ ยาขยายหลอดลม ให้กินระยะ ยาวๆ ถ้าเป็นมากๆ ใช้ยาปฏิชีวนะยาภูมิแพ้ บางครั้งอาจใช้พวกกลุ่ม ยาสตีรอยด์ (steroid) ซึ่งการใช้ยาประเภทนี้นานๆ ก็มักจะมีผลข้างเคียง ที่เราไม่ต้องการเกิดขึ้นมากกว่าผล ที่ได้รับ เนื่องจากผู้ป่วยประเภทนี้เป็น โรคเรื้อรังเป็นแล้วเป็นอีกซ้ำๆ ซากๆ เวลาไปพบแพทย์ได้ยามากินก็หายหยุดก็เป็นอีก บางคนเป็นมาก ได้รับ ยาแล้วก็ทนผลข้างเคียงของยาไม่ไหว พอนานๆ เข้าก็เกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย …

หลอดลมอักเสบเรื้อรัง Read More »

มารู้จัก “การครอบแก้ว”

“การครอบแก้ว” เป็นวิธีการรักษาของแพทย์แผนจีนโบราณ โดยใช้ความร้อนทำให้อากาศในช่องว่างของกระบอกที่กลวงมีการลดความดันภายในลง เกิดมีแรงดึงกลับภายในกระบอก เมื่อนำเอากระบอกมาวางตรงส่วนต่างๆของร่างกาย (ตามจุดฝังเข็มหรือแนวเส้นลมปราณ) จะมีการดูดเอาผิวหนังและกล้ามเนื้อเข้าไปในกระปุก ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นผิวหนังจะเกิดจ้ำเลือดแดงๆ จากการคั่งของเลือด เป็นไปตามจุดประสงค์การรักษาของโรค ต่อมามีการพัฒนามาใช้กระปุกพลาสติกแบบที่ดูดทำให้เกิดสุญญากาศ กลไกสำคัญของการครอบแก้ว – กระตุ้นการไหลเวียนเลือด บริเวณที่มีการครอบแก้วจะมีการหลั่งสารเคมี เป็นการส่งสัญญาณไปสมองเพื่อการปรับตัวเพื่อให้มีการซ่อมแซมบริเวณนั้น – ร่างกายจะมีการหลั่งสารคล้ายฮีสตามีน และกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆ เพื่อเพิ่มระบบภุมิคุ้มกัน – เปิดรูขุมขน กระตุ้นการทำงานในการขับพิษออกจากผิวหนัง มีการกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้มำทำการเก็บกวาดสิ่งสกปรกและของเสียบริเวณนั้น ติดตามข้อมูลข่าวสารอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/samluangclinic        

หยางแท้ – ยินเทียม ร้อนแท้ – เย็นเทียม

“ดิฉันเป็นคนขี้หนาว แขนขาเย็น แต่ตัวร้อน ท้องผูก เป็นแผลร้อนในบ่อย ดิฉันเป็นโรคอะไรค่ะ”Ž“คนใกล้ชิดมักจะบอกว่า ผมมีกลิ่นปาก ผมไปหาหมอฟันแล้วหาสาเหตุไม่ได้ หมอจีนบอกว่าผมร้อนภายใน เพราะเป็นคนกระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก หงุดหงิด ลิ้นและชีพจรก็บ่งบอก และให้ยาผมมากิน ปรากฏว่าดีขึ้นมาก”Ž อาการหลายๆ อาการที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์แผนจีน มักจะถูกรวบรวมเป็นกลุ่มอาการ ประสานกับการตรวจวินิจฉัยด้วยการมอง (ดู), ถาม, ดม-ฟัง และจับชีพจร-สัมผัส สรุปเป็นการวินิจฉัยแยกแยะภาวะของโรค เพื่อวางแผนการรักษา อาการต่างๆ ของผู้ป่วยข้างต้น 2 รายอาจจะมีรายละเอียดบางอย่างเหมือนกัน บางอย่างต่างกันบ้าง แต่บางครั้งสรุปว่า มีพื้นฐานของการเสียสมดุลคล้ายกัน การวางแนวการรักษาก็จะเป็นแนวเดียวกัน แต่มีรายละเอียดที่ต้องปรับวิธีการ หรือการใช้ยาจำเพาะแตกต่างกัน เรียกว่า การปรับลดตำรับยา1. ร้อนแท้ – เย็นเทียม มีอาการแสดงออกทางคลินิกที่สำคัญอย่างไร?– อาการ ที่ผู้ป่วยมาหาบ่อยๆ ได้แก่อาการแขนขาเย็น ตัวร้อน (ส่วนอกและท้อง)– อาการร่วมอื่นๆ ได้แก่ ไข้สูง กลัวความเย็น ใบหน้าไม่ค่อยมีชีวิตชีวา (บางรายหมดสติ) สีดำคล้ำในผู้ป่วยที่ไม่มีไข้สูง มักมีกลิ่นเหม็น ปากเหม็น กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก ท้องผูก อุจจาระแห้งเป็นก้อน …

หยางแท้ – ยินเทียม ร้อนแท้ – เย็นเทียม Read More »

ขอบตาดำคล้ำ (อาจ)ไม่ใช่เรื่องเล็ก..แต่เป็นเรื่องโรค

คนทั่วไปมักจะมองเห็นว่าขอบตาดำคล้ำเป็นเรื่องความสวยความงาม ไม่เกี่ยวข้องกับภาวะของโรค หรือภาวะสมดุลของร่างกาย แต่ในทัศนะการแพทย์แผนจีน มองภาวะขอบตาดำอย่างเป็นปัญหาองค์รวม ไม่แยกส่วน กล่าวคือ ไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะเรื่องของเม็ดสีหรือภาวการณ์ไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดฝอยบริเวณเบ้าตาไม่คล่องตัว มีการอุดกั้นเท่านั้น แต่มันอาจจะเป็นสิ่งที่สะท้อนภาวะของร่างกายทั้งระบบที่มีปัญหาบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ ขอบตาดำคล้ำเกิดจากอะไรนอกจากสาเหตุที่เกิดจากการกระทบกระแทก ทำให้เกิดการฉีกขาดหรือทำลายหลอดเลือดฝอย มีการไหลของเลือดออกนอกหลอดเลือด ทำให้มีการคั่งค้างของเลือดบริเวณรอบขอบตา ซึ่งมักเกิดทันทีทันใดภายหลังเกิดอุบัติเหตุแล้วการเกิดอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปของสีดำคล้ำบริเวณขอบตาก็เช่นเดียวกัน เป็นการสะท้อนถึงการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดฝอยของตา มีการคั่งค้าง อุดกั้น ไหลเวียนไม่สะดวก เมื่อเวลาผ่านไปการไหลเวียนยิ่งน้อยลง อาการดำคล้ำก็จะสังเกตได้มากขึ้น การตรวจพบจะสังเกตได้ง่ายหรือยากขึ้นกับปัจจัยหลายประการ เช่น1. คนสูงอายุจะสังเกตได้ง่ายกว่าคนอายุน้อยหรือวันรุ่น เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น ไขมันใต้ผิวหนังมีการสะสมตัวน้อย หนังตาจะหย่อน ขณะเดียวกัน การทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และการไหลเวียนเลือดจะลดลง ทำให้สามารถสังเกตความผิดปกติจากการอุดกั้นหรือภาวะไหลเวียนของเลือดบริเวณเบ้าตาได้ง่ายขึ้น 2. คนที่มีเม็ดสีบริเวณเบ้าตา ใบหน้า มากกว่าปกติ ทำให้สังเกตเห็นความคล้ำของสีมากผิดปกติ 3. คนที่ร่างกาย ใบหน้า ซูบผอม มีไขมันใต้ผิวหนังน้อย จะสังเกตได้ง่ายกว่าคนอ้วน4. คนที่ผิวกายสีขาว ทำให้เห็นความดำคล้ำได้ชัดกว่า คนที่สีผิวเหลือง น้ำตาล หรือดำ ขอบตาดำคล้ำกับความสมดุลของร่างกายภาวะขอบตาดำ อาจเป็นภาวะของสรีรภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ตอบสนองของร่างกายขณะที่ยังไม่เป็นโรค หรือเป็นพยาธิสภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีราภาพนานๆเข้าและไม่ได้รับการเยียวยา แพทย์แผนจีนพูดถึงความสัมพันธ์ของอวัยวะภายในกับดวงตาไว้ว่า“ตับมีทวารเปิดที่ตา” และ …

ขอบตาดำคล้ำ (อาจ)ไม่ใช่เรื่องเล็ก..แต่เป็นเรื่องโรค Read More »

อาหารและสมุนไพรกระตุ้นน้ำนมหลังคลอด ตามศาสตร์แพทย์จีน

องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ (UNICEF) เสนอแนะให้ทารกแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูด้วยนมแม่เป็นหลักในระยะ 6 เดือนแรก ด้วยเหตุผลที่สำคัญทั้งต่อสุขภาพ การพัฒนาการร่างกาย ระบบประสาท ทางจิตใจของเด็ก และความผูกพันทางสายเลือดของอารมณ์ความรู้สึกระหว่างแม่กับลูก หลังคลอด นมที่สร้างช่วงแรกจะเป็นน้ำนมเหลือง (Colostrums) ซึ่งจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นน้ำนมขาวในที่สุด สารอาหารสำคัญที่มีอยู่ในนมแม่ ได้แก่ ไขมัน (ไขมันจำเป็น เช่น ไลโนเลอิกและไลโนเลนิก) ซึ่งจะทำหน้าที่ในการสร้างสารไปห่อหุ้มเส้นใยประสาทในสมองเด็ก ทำให้การส่งกระแสประสาทในสมองเด็กทำได้ดีและรวดเร็วขึ้น มีพัฒนาการในการตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบๆ ตัว  นอกจากนั้นอิมมูโนโกลบูลินในนมแม่จะช่วยลดโอกาสการเป็นภูมิแพ้ในเด็ก รวมทั้งจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อและไม่สบายของเด็ก ขณะที่ลูกดูดนมจากอกแม่ จะทำให้ระดับฮอร์โมน ออกซีโทซิน (Oxytocin) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะช่วยให้แม่มีจิตใจอ่อนโยน ซึ่งเด็กจะรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน อันจะส่งผลให้เด็กมีอารมณ์ดีและเพิ่มสัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้มีความผูกพันทางสายเลือด ขณะที่ลูกดูดนมแม่ประสาทสัมผัสทุกส่วนของเด็กจะถูกกระตุ้นให้เกิดการทำงาน ทั้งการมองเห็น โดยการสบตากับแม่ขณะดูดนม การรับกลิ่น เนื่องจากการอยู่ใกล้ชิดกับการฝึกประสาทหูเนื่องจากลูกจะได้ยินเสียงแม่ที่พูดคุยกับตนเอง การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีข้อดีอีกอย่างก็คือลดโอกาสการเกิดมะเร็งเต้านมของแม่ เหตุผลหนึ่งเพราะด้วยระดับฮอร์โมน ออกซีโทซิน (Oxytocin) เพิ่มมากขึ้นจะยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองทำให้ไม่มีการกระตุ้นการเติบโตของไข่ เต้านมจะได้พักการถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องจากออร์โมนเอสโตรเจน แต่ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นคือ จะมีปริมาณและคุณภาพของน้ำนมที่ดีพอได้อย่างไร การเตรียมการแก้ไขปัญหาน้ำนมให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอจึงเป็นหัวใจที่ต้องได้รับการพิจารณาเร่งด่วน ภาวะน้ำนมน้อย (缺乳)ในมุมมองแพทย์แผนจีน น้ำนมมีที่มาจากเลือด …

อาหารและสมุนไพรกระตุ้นน้ำนมหลังคลอด ตามศาสตร์แพทย์จีน Read More »

7 วิธี ปรับสมดุล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะที่มีมาแต่กำเนิดให้เข้มแข็ง เพราะเป็นด้านแรกและด่านสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค ความเชื่อของแพทย์จีนที่ว่า “หมอที่เก่งที่สุดคือตัวเรา” การจะทำให้กลไกร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือการมีสุขภาพที่ดีต้องสร้างด้วยตัวเองเท่านั้น โดยการเข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติและดำเนินวิถีชีวิตให้สอดคล้องและเป็นจังหวะกับธรรมชาติเท่านั้น สุขภาพที่ดีบ่งบอกถึงภูมิคุ้มกันโรคที่ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ จิตใจร่าเริง มีความสุข อายุยืนยาว 1.การปรับสมดุลด้วยอาหารและยา “ ยามปกติปรับสมดุลด้วยอาหาร  ยามเจ็บป่วยปรับสมดุลด้วยยา” ดังนั้นในการป้องกันโรคจึงเน้นที่อาหาร หรือสมุนไพรที่เป็นอาหารมากกว่าใช้ยา เพราะยาเป็นการปรับสภาพไปด้านใดด้านหนึ่งที่รุนแรง ถ้าร่างกายไม่เสียสมดุลมากจึงเน้นการใช้อาหารสมุนไพรเป็นหลัก คุณลักษณะสมุนไพร มีฤทธิ์ ร้อน-อุ่น หรือเย็น มีรสชาติบอกสรรพคุณ นำยาเข้าสู่อวัยวะใด มีกลไกพลังกำหนดทิศทางของยา ขึ้นบน ลงล่าง เข้าใน กระจายออกภายนอก การใช้สมุนไพรจึงต้องคำนึงให้สอดคล้องกับลักษณะโรคหรือความเสียสมดุล แพทย์จีนไม่ได้ใช้ยาด้วยการเริ่มต้นจากการดูสารออกฤทธิ์ การแพทย์แผนจีนใช้หลักคิดทฤษฎีแพทย์จีนในการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรค ส่วนมากเป็นเชิงตำรับ จุดมุ่งหมายเพื่อปรับสมดุลร่างกายโดยรวม ปัจจุบันสมุนไพรต่างๆได้ถูกนำมาวิเคราะห์แยกแยะสารออกฤทธิ์สำคัญ ทำให้รู้ถึงกลไกการออกฤทธิ์ของยาสมุนไพรจนเกิดความโน้มเอียงไปที่การเน้นสรรพคุณของสารออกฤทธิ์ไปรักษาอาการของโรคเป็นหลัก กลายเป็นการใช้สมุนไพรรักษาโรคมากกว่ารักษาคน มีผลข้างเคียงจากการใช้ยาสมุนไพร เกิดปัญหาและผลข้างเคียงจากการใช้สมุนไพร  ตัวอย่างเช่น สมุนไพรฟ้าทะลายโจร (穿心莲) มีสารสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ สารกลุ่ม Lactone คือ –  สารแอนโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) –  สารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neo-andrographolide) – …

7 วิธี ปรับสมดุล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน Read More »

ปรับสมดุล สร้างภูมิคุ้มกัน ต้านโควิด ด้วยแพทย์แผนจีน (2)

ภูมิคุ้มกัน – พลังพื้นฐานในการต่อสู้กับโรค(เจิ้งชี่ 正气) ในมุมมองแพทย์แผนจีน พลังเจิ้งชี่กระกายอยู่ทุกอวัยวะภายในและทางเดินเส้นลมปราณ มีบทบาทในการผลักดันกระตุ้นให้ระบบการทำงานทางสรีระของร่างกายทำงานเป็นปกติ ปรับการสร้าง สารจำเป็น เลือด สารน้ำ รวมถึง การลำเลียง การขับถ่ายของเสีย เพื่อทำให้เลือดและพลังไหลเวียนไม่ติดขัด  ไม่ก่อเกิดของเสียในร่างกาย  เช่น เสมหะ ความชื้น เลือดคั่ง แพทย์แผนจีนใช้ตรวจสภาพสมดุลร่างกายด้วยวิธีการสื่อเจิ่น(四诊) โดยใช้อวัยวะสัมผัสของแพทย์ในการรวบรวมข้อมูลมาสังเคราะห์และวิเคราะห์ประเภทของร่างกายเพื่อวางแผนการรักษาในการปรับสมดุล ระบบภูมิคัมกันหรือเจิ้งชี่ในความหมายแพทย์แผนจีนจึงไม่ได้มองไปเฉพาะรบบภูมิคุ้มกัน หรือการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ แต่เกี่ยวข้องกับการปรับระบบการทำงานของอวัยวะภายในทุกอวัยวะ การไหลเวียนของเลือดและพลัง การป้องกันการติดขัดของเลือด พลัง สารน้ำและการขับสิ่งก่อโรคภายในที่เกิดขึ้นจากการทำงานของร่างกาย                                                                                                                                การสร้างพลังและเก็บพลังของร่างกายเกี่ยวข้องกับอวัยวะม้ามและไต  ม้ามจึงเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตหลังกำเนิด ถ้าทำงานของม้ามดี ทำให้มีการสร้างเลือดและพลังลมปราณได้ดี สุขภาพแข็งแรง ถ้าม้ามอ่อนแอ ทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเดิน อ่อนแอ ไม่มีพลัง เลือดและพลังพร่อง ส่วนไตคืออวัยวะที่เกี่ยวข้องกับสารจิง การปรับสมดุลยินหยาง  ระบบฮอร์โมน ไขกระดูกเป็นต้นทุนที่มาแต่กำเนิด  การสร้างเม็ดเลือดขาว สร้างเลือด เกล็ดเลือด เกี่ยวข้องกับไขกระดูก ทั้งม้ามและไตมีการทำงานที่เสริมกันและเป็นต้นทุนสำคัญในการสร้างเจิ้งชี่หรือระบบภูมิคุ้มกัน การสร้างภูมิคุ้มกันสู้โควิด คือการปรับสมดุลสร้างเสริมสุขภาพ หลักการปรับสมดุลเพิ่มภูมิคุ้มกัน 3 ประการ 1.ความสมดุลระหว่าง ยินและหยาง …

ปรับสมดุล สร้างภูมิคุ้มกัน ต้านโควิด ด้วยแพทย์แผนจีน (2) Read More »

ปรับสมดุล สร้างภูมิคุ้มกัน ต้านโควิด ด้วยแพทย์แผนจีน (1)

สถานการณ์โควิด 19 ของประเทศในการระบาดรอบ 3 มีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น มีการกระจายตัวตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ช่วงเทศกาลสงกรานต์และหลังสงกรานต์ จนกระทั่งต้นเดือนพฤษภาคม ก็ยังไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ยอดผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่า 2000 ราย ยอดเสียชีวิตรายวัน 20 กว่ารายต่อวัน จำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ถึงกลางเดือนเมษายน 2564 ในประเทศไทยยังน้อยมากไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของประชากร แผนการของภาครัฐคือ ให้ได้ 63 ล้านโดสในสิ้นปี 2564  โดยเริ่มเปิดให้มีการลงทะเบียน “หมอพร้อม” ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง 7 โรคเรื้อรังและคนที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป (จำนวนประชากรไทยปี 2564มีประมาณ กว่า 66 ล้านคน ถ้าได้ฉีดคนละ 2 เข็ม จะครอบคลุมประมาณ 50%ของประชากร) การเกิดภูมิค้มกันหมู่จะต้องมีภูมิคุ้มกันมากกว่า 70% คือประมาณการฉีด 100 ล้านโดส  เพราะฉะนั้นจึงต้องหาวิธีการหาวัคซีนและระดมการฉีดวัคซีนให้ได้เร็วและมากที่สุดโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงมากกว่า …

ปรับสมดุล สร้างภูมิคุ้มกัน ต้านโควิด ด้วยแพทย์แผนจีน (1) Read More »

“จมูก” บอกโรคได้อย่างไร

ในวิชาดูโหงวเฮ้งได้ให้ความสำคัญของจมูก เพราะมีความอุดมสมบูรณ์และเป็นพลังแห่งสรรพสิ่ง เป็นทางผ่านของลมหายใจเพื่อให้การการมีชีวิตอยู่ทำให้เกิดพลัง และเป็นทางผ่านของลมหายใจเมื่อร่างกายกำลังจะดับ คือ เป็นทางออกของลมเฮือกสุดท้ายมีคำกล่าวมากมายเกี่ยวกับจมูก เช่น – จมูกสามารถสะท้อนถึงอำนาจ วาสนา วาระสุขภาพ ครอบครัว ทรัพย์สิน บริวาร บุตรหลาน อุดมการณ์ ความรวดเร็วในการตัดสินใจ – จมูกที่มีโชคลาภ ทรัพย์สิน ปลายจมูกต้องมีเนื้อมาก กลมมนใหญ่ สีสันออกเหลืองอมชมพู มองตรงแทบไม่เห็นรูจมูก – สตรีใดที่มีจมูกเล็กเมื่อเทียบกับสัดส่วนอวัยวะอื่นบนใบหน้า มักจะเป็นคนใจแคบ ขี้หึง แต่อดทน – ถ้าจมูกแดงตลอดเวลา บ่งบอกว่าเป็นคนชอบเล่นการพนัน ชอบเสี่ยงโชค จะทำสิ่งใดก็ไม่ประสบความสำเร็จ – ถ้าจมูกเป็นสีเทา บ่งบอกว่า จะมีความยุ่งยากในเรื่องการเงิน – ถ้าจมูกสีดำคล้ำหรือสีเขียว บ่งบอกว่า ให้ระวังเรื่องสุขภาพและจะมีเคราะห์ – ถ้าหน้าตาสดใสแต่จมูกสีคล้ำกว่าหน้ามาก บ่งบอกว่า เป็นคนทำงานหนักแต่ได้ผลตอบแทนน้อย ที่กล่าวมานี้เป็นการลักษณะอวัยวะสำคัญใหญ่ ๆ บนใบหน้า ( ตา จมูก หู ปาก คิ้ว ) ซึ่งเป็นศาสตร์การดูโหวงเฮ้ง เพื่อทำนายลักษณะและดวงชะตาของคนจากการสังเกตบนใบหน้า ในแง่ศาสตร์แพทย์จีน ปัจจุบันมีการศึกษาและค้นคว้าวิจัยในรายละเอียด ทำให้เราสามารถนำเอาแนวคิดแพทย์มาช่วยในการตรวจวินิจฉัยโรคได้มากขึ้น การพิจารณาลักษณะจมูก …

“จมูก” บอกโรคได้อย่างไร Read More »

สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดหัวใจ(1)

ข่าวท่าน รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ทีมสู้โควิดประเทศไทยเสียชีวิตกระทันหัน ขณะร่วมวิ่งมินิฮาร์ฟมาราธอน เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563 ในวันเดียวกันที่จังหวัดระยอง มีนักวิ่งเสียชีวิต 2 ราย ในงานวิ่ง อาสาพาวิ่ง 2020 เส้นทางวิ่งรอบอ่างเก็บน้ำดอกกราย อ.ปลวกแดง มีนักวิ่งเข้าร่วมแข่งนับพัน ผู้เสียชีวิตทั้งสองรายเป็นเพศชายอายุ 54 ปี และ 30 ปี ทั้ง 3 คนเสียชีวิตด้วยหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเป็นข่าวสะเทือนขวัญทั้งๆที่ทุกคนเป็นคนรักสุขภาพ ออกกำลังกาย สถานการณ์โรคหลอดเลือดหัวใจ Coronary Artery Disease  ของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก และก็เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย รองมาจากมะเร็งและอุบัติเหตุ ซึ่งโรคหัวใจที่คนไทยเป็นกันมากที่สุด คือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ  ปีพ.ศ. 2557 มีรายงาน โรคหัวใจขาดเลือดประมาณ 450 รายต่อวัน เสียชีวิตชั่วโมงละ 2 คน  แนวโน้มของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันมีสถิติเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ …

สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดหัวใจ(1) Read More »

5 สมุนไพรบำรุงตับ

สมุนไพรมีทั้งที่บำรุงตับและไต ปรับสมดุลอวัยวะต่างๆ  ช่วยการย่อยอาหาร ช่วยกระตุ้นการขับน้ำดี ช่วยดึงรั้งเลือดไม่ให้ระบายมากไป หลิงจือ (灵芝) ฤทธิ์กลางๆ เข้าเส้นลมปราณสู่อวัยวะภายในทั้ง 5 คือ หัวใจ ปอด ตับ ม้าม ไต (归心、肺、肝、肾经) ทำให้ขอบเขตการใช้ทางคลินิกค่อนข้างที่กว้างขวางครอบคลุม ระบบไหลเวียนเลือด ระบบทางเดินหายใจ ระบบย่อยและดูดซึม ระบบประสาทและระบบฮอร์โมนต่อมไร้ท่อ ระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งโรคทางอายุรกรรม โรคสตรี โรคเด็ก โรคทางหูคอ ตา จมูก ฯลฯ เนื่องจากรสหวาน ฤทธิ์กลางๆ ไม่มีพิษ (甘平无毒) ไม่ร้อนหรือเย็น ทำให้ใช้ได้ทั้งคนที่มีพื้นฐานร่างกายร้อน(หยาง)และร่างกายเย็น(ยิน) ใช้เป็นทั้งอาหารและเป็นทั้งยา (药食两用) ใช้ในการปรับสมดุลองค์รวมทั้ง 2  ทิศทาง คือทั้งบำรุงและขับระบาย(整体上双向调节人体机能平衡) สรรพคุณ กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว Macrophage ต้านมะเร็ง เป็นสมุนไพรที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ไม่มีพิษหรือผลข้างเคียง จึงมีความปลอดภัย โดยออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว Macrophage ซึ่งทำหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็ง กระตุ้นการสร้าง interleukin-2 (白细胞介素-2)ในการต่อต้านเซลล์มะเร็ง กระตุ้นปริมาณเลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจ ลดการใช้ …

5 สมุนไพรบำรุงตับ Read More »

การฟื้นฟู ดูแลตับด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน (2)

การประยุกต์นำมาใช้ทางคลินิก 1. ตับเป็นเสมือนคลังเลือด หรือธนาคารกลาง ขณะที่เราเคลื่อนไหว เลือดจากตับจะถูกส่งไปหล่อเลี้ยง ดวงตา แขน ขา เอ็น ข้อต่อต่างๆ ที่อยู่ส่วนปลายของร่างกาย ถ้ามีสิ่งเร้ามากระตุ้น ทำให้จิตอารมณ์แปรปรวน โดยเฉพาะอารมณ์โกธร โมโหฉุนเฉียว เลือดจะถูกผลักไปสู่ส่วนบน ทำให้หน้าแดง หัวใจเต้นแรง หายใจเร็ว หลอดเลือดหดตัว หลอดลมตีบ ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมองแตกได้ ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ตับทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนแองจิโอเท็นซินโนเจน(Angiotensinogen) ทำหน้าที่ร่วมกับฮอร์โมนจากไตควบคุมเกี่ยวกับความดันโลหิต ทางการแพททย์แผนจีน ภาวะหยางของตับแกร่งทำให้ภาวะความดันโลหิตสูง 2. การนอนหลับ  การปิดตา การปล่อยวาง นั่งสมาธิ จะลดการกระตุ้นจากการมองเห็น เกี่ยวข้องกับลดการนำเลือดออกจากตับไปยังแขนขา ศีรษะ สมอง แต่จะนำเลือดกลับมาสู่ที่ตับแทน ตามศาสตร์แพทย์แผนจีน  ตับเปิดทวารที่ตา(肝开窍于目) “เวลาร่างกายเคลื่อนไหว เลือดอยู่ที่เส้นลมปราณภายนอก เวลาคนจิตใจสงบ ร่างกายหยุดการเคลื่อนไหว เลือดจะกลับเข้าตับ” ขณะที่เรานอนหลับ เลือดจะถูกลำเลียงกลับมาที่ช่องท้อง ผ่านตับ เพื่อเก็บสะสมและหล่อเลี้ยงอวัยวะภายใน ทำให้อวัยวะภายในได้รับอาหารหล่อเลี้ยง ขณะเดียวกันเลือดที่ผ่านตับก็จะได้รับการทำลายพิษต่างๆ 3. ตับทำหน้าที่ทำลายสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ทั้งจากอาหารที่รับประทานเข้าไป …

การฟื้นฟู ดูแลตับด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน (2) Read More »

การฟื้นฟู ดูแลตับด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน (1)

สถานการณ์ของโรคมะเร็งในภาพรวมของประเทศไทย จากสถิติ พบว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 16 ของต้นเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด สูงกว่าอันตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และโรคหัวใจเฉลี่ย 2 ถึง 3 เท่า หรือมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเฉลี่ย 8 รายต่อชั่วโมงในปี พ.ศ.2561 พบว่า มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ โดยประมาณอยู่ที่ 170,495 ราย และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณ 114,199 รายสำหรับ 5 อันดับแรกของมะเร็งที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ โรคมะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่พบได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโรคมะเร็งที่เกิดในผู้ชายไทย โดยมักพบในคนอายุ 30-70 ปี และพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2-3 เท่า เนื่องจากเพศชายมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง โดยโรคมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ เนื่องจาก 90% ของมะเร็งตับเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีและซีจึงมีโอกาสเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับสูง หากมีมะเร็งตับเกิดขึ้น มะเร็งตับจะโตขึ้นเป็น 2 เท่าภายในเวลา 3-6 เดือน ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง   1 ใน …

การฟื้นฟู ดูแลตับด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน (1) Read More »

“ปาก” บอกความผิดปกติของสุขภาพได้

พูดถึงปากคน หลายคนได้ดิบได้ดีเพราะปาก บางคนประสบเคราะห์กรรมก็เพราะปากโดยแท้ มีให้พบเห็นบ่อย คำพูดที่ออกมาจากปากก็สำคัญเป็นการสะท้อนอุปนิสัย ทัศนคติ การศึกษา การได้รับการอบรมเลี้ยงดู คนจีนโบราณเชื่อว่า นอกจากเหตุปัจจัยของการบ่มเพาะจากสังคมและสิ่งแวดล้อมแล้ว ลักษณะของปากจะเป็นตัวกำหนดพื้นฐานอุปนิสัยดั้งเดิม และกำหนดการแสดงออกของบุคลิกภาพได้ด้วย คนที่มีลักษณะเด่นของธาตุใดธาตุหนึ่งจะมีบุคลิกภาพจิตใจ ที่โน้มเอียงไปแบบหนึ่งลักษณะเด่นของธาตุก็จะไปแสดงออกที่อวัยวะต่าง ๆ เช่น จมูก หู ตา ปาก คิ้ว ซึ่งเป็นภาพจำลอง (holographic) ของร่างกายทั้งร่างกาย จึงทำให้โหงวเฮ้งของคนมีความแตกต่างกันไป จึงมีความเป็นไปได้ในหลักทฤษฎีแพทย์จีน สภาพความเป็นอยู่(ทางเศรษฐกิจ สังคม) ส่งผลต่อสภาพร่างกายและจิตใจ สภาพจิตใจก็มีผลต่อร่างกาย ต่อสีสัน ความมีชีวิตชีวาของใบหน้า ดวงตา จมูก ฯลฯ ซึ่งแน่นอน ความสุขที่เกิดขึ้นทางกายและใจ มีผลต่อลักษณะของอวัยวะและสภาพต่างๆ ของใบหน้า ซึ่งเสมือนเป็นกระจกสุขภาพที่ปรากฏสู่ภายนอก คนที่มีลักษณะปากเล็ก-บางรูปร่างมักจะผอมอ่อนแอ ไม่ทนต่องานหนัก อาจเรียกว่าเป็นคนไม่แข็งแรงทำงานหนักไม่ได้ ถ้าในภาวะที่ต้องเจอกับภาวะตรากตรำก็จะลำบาก แต่ถ้าเป็นดารา ทำงานไม่ใช้แรงงานกาย งานเจรจาติดต่อ ก็อาจจะเหมาะสมกับสภาพของสังคม ก็อาจเรียกว่าดีได้ เราจึงพบปรากฏการณ์ที่ดารา นักแสดงจำนวนมากที่ดูแล้วหุ่นดี ร่างกายผอม-เพรียว ทั้งที่สุขภาพไม่ดีเป็นภาพที่สังคมยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดี ในขณะที่บางคนที่มีความสมบูรณ์อิ่มเอิบของใบหน้า ที่แสดงความอยู่ดีกินดี …

“ปาก” บอกความผิดปกติของสุขภาพได้ Read More »