การรักษาโรคด้วยแพทย์แผนจีน

การรักษามะเร็ง แบบบูรณาการแพทย์จีนกับแผนปัจจุบัน

เนื่องจากแพทย์แผนจีนมีจุดเด่นด้านการรักษามะเร็ง คือ การเปี้ยนเจิ้งลุ่นจื้อ 辨证论治 คือการแยกแยะสภาพร่างกายและปัจจัยก่อโรคอย่างเป็นรูปธรรมที่เป็นจริง และดำเนินการรักษาปรับสมดุลด้านหนึ่งสร้างเงื่อนไขให้ร่างกายสามารถปรับกลไกธรรมชาติในการรักษาตนเอง ในอีกด้านหนึ่งทำการขจัดเสียชี่ (ปัจจัยก่อโรค) ออกจากร่างกาย โดยให้ความสำคัญกับสภาพองค์รวมเป็นหลัก ปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัยยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต่อการยับยั้งมะเร็งโดยตรงและนำไปรักษาโรคมะเร็งเฉพาะส่วน รวมทั้งการใช้ยาสมุนไพรเพื่อรักษาอาการปวดเฉพาะที่ สรุปได้ว่า มีทั้งการเปี้ยนเจิ้ง 辨证 (การวิเคราะห์องค์รวม)เพื่อรักษาตามเจิ้ง 辨证治疗 การเปี้ยนปิ้ง 辨病治疗 (การวินิจฉัยโรคมะเร็งเฉพาะที่) เพื่อรักษาตามโรค 辨病治疗 และการรักษาตามอาการ (对症治疗) ประสานกลมกลืนในกระบวนการรักษา บทบาทของการรักษาแบบแผนจีน 1. การฝังเข็ม-รมยา การฝังเข็ม-รมยา อาศัยทฤษฎีจิงลั่ว ทฤษฎีปัญจธาตุ ทฤษฎีอวัยวะภายใน ฯลฯ มาชี้นำทำการรักษาเพื่อปรับสมดุล โดยการเสริมเจิ้งชี่และขับเสียชี่ในการต้านมะเร็งคือกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรคในการต่อสู้มะเร็ง จุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมและยับยั้งการพัฒนาของเซลล์มะเร็ง 2. การฝึกพลังลมปราณ (ชี่กง) มีบทบาทการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค เสริมภูมิคุ้มกัน เป็นการเน้นบทบาทในการกระตุ้นศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกาย โดยการปรับกลไกพลังของร่างกาย ทำให้การไหลเวียนของพลังลมปราณในเส้นลมปราณต่างๆ ไหลเวียนคล่องตัว ไม่ติดขัด เสริมสร้างการปรับตัวเพื่อรักษาตัวเอง ยังช่วยลดภาวะความตึงเครียดทางจิตใจ ซึ่งเป็นสาเหตุของภูมิคุ้มกันต่ำและการติดขัดของพลังลมปราณอีกด้วย การต่อสู้กับมะเร็งต้องอาศัยกลไกของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สภาพจิตใจและความคิดที่เป็นบวก และจิตใจที่สงบ ไม่ใช่ตกใจกลัว มองโลกในแง่ร้าย …

การรักษามะเร็ง แบบบูรณาการแพทย์จีนกับแผนปัจจุบัน Read More »

แพทย์แผนจีน กับหลักการรักษามะเร็ง

แพทย์แผนจีนรักษามะเร็งจะต้องเข้าใจภาวะองค์รวมทั้งหมด แล้วดำเนินการรักษาอย่างวิภาษ หรือที่เรียกว่า เปี้ยนเจิ้งลุ่นจื้อ (辨证论治)  คือ วางหลักและใช้วิธีในการรักษาที่สอดคล้องกับภาวะร่างกายและภาวะของปัจจัยก่อโรค ซึ่งการจะวิเคราะห์ภาวะของร่างกายและภาวะของปัจจัยโรค ใช้วิธีการตรวจโรคแบบ ซื่อเจิน (四诊) เก็บรวบรวมข้อมูลจากอาหารต่างๆ และสิ่งตรวจพบ นำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์มาสรุปลักษณะธาตุแท้ ปรากฏการณ์ที่เป็นจริง สู่การวางหลักการและวิธีการรักษาที่สอดคล้องอย่างยืดหยุ่นพลิกแพลง 1. ทัศนะองค์รวม (整体观念) การรักษามะเร็งเฉพาะส่วนร่วมกับการรักษาร่างกายโดยองค์รวม การควบคุมมะเร็งได้ดี จะมีผลดีต่อสภาพร่างกายโดยรวมทั้งหมด ในทางกลับกัน สภาพร่างกายที่ดีจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันที่จะมีผลต่อการควบคุมมะเร็งด้วย ทั้ง 2 ด้าน คือ เฉพาะส่วนกับองค์รวมต่างส่งผลกระทบต่อกัน ควบคุมกันและส่งเสริมกัน 2. การปรับสมดุลยิน-หยาง (调整阴阳) หลักการของทฤษฎียิน-หยาง ชี้นำการดำรงอยู่ของด้าน 2 ด้าน เช่น ร่างกายกับมะเร็ง ทั้ง 2 ด้านมีรากฐานเดียวกัน การพัฒนาเพิ่มขึ้นของด้านหนึ่ง ส่งผลต่อการลดลงของอีกด้านหนึ่ง ในทางกลับกันการลดลงของอีกด้านหนึ่ง ก็ส่งผลต่อการพัฒนาเพิ่มขึ้นของอีกด้านหนึ่ง การปล่อยให้เงื่อนไขยิน-หยางเสียสมดุลอย่างต่อเนื่องเป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพจากเซลล์ดีกลายเป็นเซลล์ไม่ดี ถ้าสร้างเงื่อนไขที่ดีได้อย่างเหมาะสม ก็สามารถทำให้เซลล์ที่ไม่ดีกลับเป็นเซลล์ดีได้ การปรับสมดุลยิน-หยาง คือ การสร้างเงื่อนไขที่ดีหรือภาวะที่เหมาะสมกับร่างกายในการเอาชนะโรคมะเร็ง ตัวอย่างการปรับสมดุล เช่น …

แพทย์แผนจีน กับหลักการรักษามะเร็ง Read More »

เทคนิค “อาบน้ำ” เพื่อสุขภาพ

การอาบน้ำชำระร่างกาย มีความละเอียด มีมุมมอง และเทคนิคต่างๆ มากมาย ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากน้ำเพื่อผลในการกระตุ้นร่างกาย ฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย เช่น การใช้ธาราบำบัด แพทย์แผนจีนได้กล่าวถึงศาสตร์ของการอาบน้ำอุ่นและอาบน้ำเย็นเพื่อสุขภาพไว้ ดังนี้ น้ำอุ่นหรือน้ำร้อน (หยาง) ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย เพิ่ม ฟื้นฟู และพยุงพลังหยาง ทำให้เลือดและพลังลมปราณเคลื่อนไหวได้ดี ช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับความเย็น ความชื้น ลม โรคเกี่ยวกับเอ็นหรือกระดูก ปวดตามข้อ ตะคริว นอนไม่หลับ ท้องเสียเรื้อรัง อาการหนาวเย็นบริเวณช่องท้อง หน้าอก น้ำเย็น (ยิน) ระงับความร้อนอุดกั้น ลดการเจ็บปวดเนื่องจากการอักเสบ ช่วยให้ก้อนเลือดหดตัว ลดการบวม ทำให้เลือดไหลเวียนดี รักษาอาการร้อนคลุ้มคลั่ง โรคความดันเลือดสูง แผลอักเสบจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลดการปวดเอ็นกล้ามเนื้อ และกระดูกที่มีการอักเสบร้อน นอกจากนั้น หากใช้ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็นสลับกัน จะเป็นการฝึกฝนการปรับตัวของระบบประสาทอัตโนมัติ ทั้งด้านกระตุ้น (ซิมพาเทติก) และยับยั้ง (พาราซิมพาเทติก) เพื่อให้มีการปรับสมดุลของยินและหยางนั่นเอง  คุณสมบัติของน้ำมีทั้งมีแรงดันและมีแรงลอยตัวเมื่อเราลง ไปแช่ในน้ำ จะมีความรู้สึกถูกบีบรัดรอบตัวบริเวณทรวงอก ช่องท้อง แขน ขา …

เทคนิค “อาบน้ำ” เพื่อสุขภาพ Read More »

แพทย์แผนจีนกับการรักษา โรคปวดศีรษะไมเกรน

อาการปวดศีรษะโดยเฉพาะปวดไมเกรนเป็นโรคที่พบได้บ่อย  สำหรับบางคนอาจเป็นโรคประจำตัว โดยเฉพาะเวลาเครียดหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ บางครั้งก็ไม่พบสิ่งกระตุ้นหรือสาเหตุที่แน่ชัด แนวทางการรักษาก็คือ การรับประทานยาระงับอาการปวดหรือถ้าเป็นมากเป็นถี่ ก็หายาเกี่ยวกับการกล่อมประสาทมารับประทานเพื่อป้องกันการกำเริบ เป็นโรคที่พบบ่อยและสร้างความรำคาญ รบกวนทั้งสภาพร่างกายและจิตใจไม่น้อย สาเหตุโรคไมเกรน ในมุมมองแพทย์แผนจีน เกิดจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายนอกหรือสิ่งกระตุ้นภายนอก  ได้แก่ ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ที่สำคัญคือ ลม ความเย็น  ความชื้น ความร้อน ซึ่งมักจะกระทบส่วนบนบริเวณศีรษะปิดกั้นทางเดินของเลือดและพลัง   ปัจจัยภายใน พื้นฐานของร่างกายที่มีอวัยวะภายในอ่อนแอที่สำคัญคือ ตับ ม้าม ไต  การเสียสมดุลของตับมักทำให้เกิดเลือดคั่งพลังติดขัด เกิดไฟร้อนของตับ  การเสียสมดุลของม้ามมักทำให้เสมหะของเสียตกค้าง การเสียสมดุลของไตมักทำให้สมองขาดการเลี้ยงบำรุง ปัจจัยภายใน  อารมณ์ ทำให้กลไกพลังแปรปรวน  ส่งผลต่อการทำงานของตับติดขัด หรือขึ้นบ น การติดขัดของพลังนานๆจะทำให้เกิดไฟ ซึ่งจะรบกวนส่วนบนบริเวณศีรษะ อาหาร การกิน  เป็นแหล่งกำเนิดของการสร้างเลือดและพลังของร่างกาย  การทำหน้าการย่อยดูดซึมอาหารของม้าม กระเพาะอาหารและการรับประทานอาหารที่ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพร่างกาย จะทำให้สมองจะได้รับเลือดและพลังอย่างเพียงพอ  ตรงกันข้ามถ้าระบบการทำงานและอาหารไม่สอดคล้อง จะทำให้เกิดเสมหะความชื้นตกค้าง  ซึ่งจะไปปิดกั้นด้านบนศีรษะเช่นกั้น อุบัติเหตุจากการบาดเจ็บกระทบกระแทกบริเวณศีรษะทั้งในอดีตและปัจจุบัน  เกิดการติดขัดของพลังและเลือดคั่ง ทำให้เกิดอาการปวด การนอนหลับพักผ่อนและการทำงานที่ไม่สมดุล  ทำลายสุขภาพทั้งร่างกาย จิตใจและอวัยวะภายใน ปัจจัยต่างๆข้างต้น เมื่อสะสมตัวนานเข้าทำให้เกิดอีกด้านหนึ่ง …

แพทย์แผนจีนกับการรักษา โรคปวดศีรษะไมเกรน Read More »

“ไขมันในเลือดสูง” ในมุมมองแพทย์แผนจีน

คำว่า “โรคโคเลสเตอรอลในเลือดสูง” ไม่มีในตำราแพทย์จีนโบราณ ดังนั้นถ้ามาตรวจกับแพทย์แผนจีนแล้วบอกว่ามีไขมันในเลือดสูงซึ่งเป็นการวินิจฉัยจากการตรวจเลือดแบบแพทย์แผนปัจจุบัน การรักษาโรคนี้แพทย์จีนจะเน้นไปที่การรักษาสมดุลของการทำงานของอวัยวะภายในและปรับเรื่องการไหลเวียนเลือด พลังและของเหลวในร่างกาย ไม่ให้มีการติดขัด บางครั้งจะกล่าวถึงเสมหะ ความชื้น การทำงานของตับและม้ามไม่สมดุล ต้องขับเสมหะชื้น กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ไม่ให้อาหารตกค้าง รวมทั้งการปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตและการรับประทานอาหาร สาเหตุไขมันในเลือดสูงในมุมมองแพทย์แผนจีน 1. การรับประทานอาหารและการดำเนินชีวิต : อุปนิสัยการกิน ทำงานหักโหม ขาดการพักผ่อน ความเครียดทางอารมณ์ ทำให้การทำงานของอวัยวะภายในแปรปรวน เกิดเสมหะความชื้นและเลือดอุดกั้น 2. การทำงานของอวัยวะภายในเสียสมดุล โดยอวัยวะหลักที่เกี่ยวข้อง คือ ตับ ม้าม ไต พลังตับติดขัดอุดกั้นทำให้การไหลเวียนเลือดไม่คล่อง กลไกพลังในช่องกลางตัว (ซานเจียว) ที่ทำหน้าที่เป็นเส้นทางลำเลียงน้ำและของเหลวทั่วร่างกายก็ติดขัดไปด้วย ระบบย่อยและลำเลียงอาหาร (ม้าม) มีประสิทธิภาพลดลง กลายเป็นความชื้นตกค้าง ไตกำกับน้ำ ถ้าพลังไตอ่อนแอ การขับระบายน้ำไม่ดี พลังความร้อนในร่างกายน้อย เกิดความชื้นตกค้างในร่างกาย อีกด้านหนึ่งกรณีไตยินพร่อง (ทำให้เกิดความร้อนและแห้งในเซลล์ต่างๆของร่างกาย) ก็จะทำให้ของเหลวเหนียวข้นเป็นเสมหะและเลือดอุดกั้นเช่นกัน ดังนั้น ไขมันในเลือดสูงในความหมายแพทย์แผนจีน คือ เสมหะความชื้น เลือดอุดกั้น ม้ามพร่องเกิดความชื้นเสมหะ มีเลือดอุดกั้นจากพลังตับติดขัด ยินพร่องเกิดเสมหะเลือดอุดกั้น …

“ไขมันในเลือดสูง” ในมุมมองแพทย์แผนจีน Read More »

รักษาด้วยยาเคมีกับยาสมุนไพรจีน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

ผู้ป่วยที่ไปรักษาโรคกับหมอแผนปัจจุบัน จะได้ยาเคมีมารักษาบำบัดโรค เวลาไปหาหมอจีน ถ้าต้องให้ยา ก็จะได้ยาสมุนไพรมากิน ปัญหาที่ผู้ป่วยมักถามเสมอคือ ยาฝรั่งกินคู่กับยาจีนจะตีกันหรือไม่? กินยาจีนแล้วต้องกินยาฝรั่งไหม? ไปหาคำตอบกันครับ ความแตกต่างระหว่างยาเคมีกับยาสมุนไพรจีน ยาเคมี : แพทย์แผนปัจจุบันใช้ยาที่เป็นเคมีสังเคราะห์พัฒนาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของยาในการรักษาโรค โดยยาเคมีไปมีผลต่อเนื้อเยื่อหรืออวัยวะโดยเปลี่ยนแปลงกลไกชีวเคมีระดับเซลล์เป็นสำคัญ การทำงานระบบต่างๆ ของร่างกาย ถ้าเจาะลึกลงไประดับเซลล์ เราพบว่ามีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นมากมาย ทำให้ร่างกายสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ตั้งแต่การย่อยสลาย และดูดซึมอาหาร การหายใจ การขับของเสียออกจากเซลล์ การขจัดพิษตกค้างภายในร่างกาย มุมมองการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี หรือสารเคมีระดับเซลล์ มีลักษณะจำเพาะสูง และมีแนวโน้มของการรักษาไปทิศทางเดียว ตัวอย่างของกลุ่มยาเคมี– ยาลดความดันโลหิตสูง– ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด– ยารักษาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ– ยาระงับการหอบหืด ยาขยายหลอดลม– ยาละลายลิ่มเลือด ยาลดการจับตัวของเลือด– ยาปฏิชีวนะ ต้านแบคทีเรีย ต้านไวรัส– ยาต้านมะเร็ง เนื่องจากการวินิจฉัยโรคแบบแผนปัจจุบันเป็นการ พยายามสืบค้นสาเหตุหรือสิ่งก่อโรค ที่มีลักษณะรูปธรรม (เชื้อโรค มะเร็ง ความผิดปกติของยีน ความผิดปกติของโครงสร้าง การกดทับหลอดเลือดหรือเส้นประสาท) ดังนั้นเมื่อพบความผิดปกติที่ชัดเจนก็ใช้วิธีการทำลายหรือยับยั้งด้วยยาหรือการผ่าตัดตามแต่กรณี แต่ถ้าไม่พบสิ่งก่อโรคที่ชัดเจน ก็จะใช้ยาเคมีเข้าไปเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางชีวเคมีของร่างกายที่ผิดปกติ ที่ทำให้เกิดโรค จึงมีลักษณะการแก้ปัญหาแบบแยกส่วน และการแก้ปัญหาตามอาการที่เกิดขึ้น ยาสมุนไพรจีน : มีลักษณะการปรับเปลี่ยนทางกายภาพหรือทางฟิสิกส์เป็นหลัก …

รักษาด้วยยาเคมีกับยาสมุนไพรจีน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? Read More »

รักษาอาการปวด แบบแพทย์แผนจีน

แพทย์แผนจีนอธิบายสาเหตุของอาการปวดเกิดจากการไหลเวียนของเลือดและพลังลมปราณในเส้นลมปราณ (Meridian) ติดขัด ไม่คล่อง : ความคล่อง-ไม่ติดขัด (ของเลือดและพลัง) ทำให้ไม่เจ็บปวดการปวดก็เพราะการติดขัด-ไม่คล่อง (ของเลือดและพลัง) ตัวอย่างการรักษาอาการปวด– ปวดชายโครงผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทบกระเทือนชายโครง แม้ว่าจะมีกระดูกซี่โครงหักหรือไม่ก็ตาม เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณชายโครงย่อมได้รับบาดเจ็บ ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการปวดแน่นๆ หายใจไม่สะดวก (ทั้งนี้รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคงูสวัด) ตามแนวชายโครง แพทย์แผนปัจจุบัน : มักให้การรักษาด้วยยาระงับปวด ยากล่อมประสาท หรือฉีดยาชาเฉพาะที่ที่มีการกดเจ็บแพทย์แผนจีน : มองว่าเส้นลมปราณ ถุงน้ำดี และตับ ซึ่งเป็นเส้นลมปราณบริเวณด้านข้างลำตัวถูกกระทบกระเทือนทำให้เลือดและพลังติดขัด การรักษาจึงต้องทะลวงการอุดกั้นของเส้นลมปราณให้คล่องตัว อาการปวดจึงจะทุเลา ในทางคลินิกจะพบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีภาวะทางอารมณ์หงุดหงิดร่วมด้วย (เพราะการไหลเวียนติดขัดของถุงน้ำดี จะสัมพันธ์กับพลังของตับ)– ผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบแพทย์แผนปัจจุบัน : มักให้การรักษาด้วยการผ่าตัดไส้ติ่งหรือถุงน้ำดีทิ้งแพทย์แผนจีน : มองว่าการอักเสบเป็นผลจาก อุดกั้นของของเสียในลำไส้ใหญ่ จนเกิดความร้อน ความชื้นตกค้าง การระบายความร้อนความชื้นของอวัยวะกลวง ลำไส้ใหญ่ และถุงน้ำดี จะทำให้ลดอาการอักเสบ การปวดได้ บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้การผ่าตัดตามความเชื่อของการแพทย์แผนปัจจุบันทั้งหมด– คออักเสบแพทย์แผนปัจจุบัน : มักให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่ไวต่อเชื้อกับยาแก้ปวดลดไข้แพทย์แผนจีน : นอกจากจะใช้ยาสมุนไพรขับพิษขับร้อนแล้ว คออักเสบมีความเกี่ยวกับเส้นลมปราณปอด การขับความร้อนบนเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่ (สัมพันธ์กับปอด)ออกโดยการถ่ายอุจจาระหรือระบายความร้อนบนจุดฝังเข็มปลายทางของเส้นลมปราณปอด (จุดซ่าวซาง) ทำให้อาการเจ็บคอและการอักเสบจะทุเลาได้เร็วขึ้น– ปวดประจำเดือนผู้หญิงที่ปวดประจำเดือนที่ไม่ได้เป็นโรคเกี่ยวกับมดลูกหรือรังไข่ หรือที่อาจถือว่าเป็นธรรมดาของผู้หญิงส่วนใหญ่ แผนปัจจุบันเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการแปรปรวนของฮอร์โมนระหว่างที่มีประจำเดือนและมีการหลั่งสารพรอสตาแกลนดิน (prostaglandins) มากผิดปกติ ทำให้มดลูกหดเกร็งตัว เกิดอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย แพทย์แผนปัจจุบัน …

รักษาอาการปวด แบบแพทย์แผนจีน Read More »

ข้อสรุป “ยาเหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง” รักษาโควิด-19 ได้จริงหรือ?

ในมุมมองแพทย์แผนจีน การเกิดโรค อาการ และความรุนแรงของโรค เป็นผลจากการต่อสู้กันของสิ่งก่อโรคที่เข้า่สู่ร่างกายกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (เจิ้งชี่) การเอาชนะโรคจึงต้องเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงเป็นหลัก และป้องการเข้าสู่ร่างกายหรือรีบทำลายเมื่อเชื้อยังมีปริมาณน้อย ช่วงที่สิ่งก่อโรคหรือศัตรูยังไม่ได้บุกเข้าร่างกาย ต้องเน้นการปิดช่องทางเข้าของเชื้อโรค(ผิวหนัง เยื่อบุทางเดินหายใจ)และเสริมสร้างปอดและพลังปกป้องผิว (เว่ยชี่卫气) ใช้การบำรุงเป็นด้านหลักเพื่อเตรียมพร้อม ไม่ใช่ไปเน้นการทำลายหรือการต่อสู้กับสิ่งก่อโรค(เพราะเชื้อโรคยังไม่ได้เข้าสู่ร่างกาย) การใช้ยารักษาในการป้องกันจึงไม่มีประโยชน์และจะมีโทษมากกว่า เหมือนยังไม่เป็นมะเร็งแล้วไปกินยารักษามะเร็ง จึงเป็นเหตุผลที่ว่ายารักษาโควิด-19 ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ยาฟาวิพิราเวียร์หรือฟ้าทะลายโจรหรือยาเหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง ที่มีฤทธิ์ทำลายลดการแบ่งตัวของไวรัส (ขับพิษขับร้อน) จึงต้องใช้รักษาเมื่อมีการติดเชื้อและมีอาการพิษร้อน เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายแล้ว เกิดปฏิกิริยาการต่อสู้กันระหว่างร่างกายกับสิ่งก่อโรคบางคนไม่มีอาการ บางคนมีอาการไม่มาก บางคนมีอาการมาก หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน แม้ว่าจะต้องให้ความสำคัญมีตัวยาสมุนไพรขับพิษ รวมถึงขับปัจจัยก่อโรคอื่นๆ เช่น ความเย็น ความร้อน ความชื้น เสมหะ แต่ยังต้องให้ความสำคัญในการเสริมภูมิปรับสมดุลควบคู่ไปด้วย การต่อสู้กับโรคโควิด-19 จึงไม่มียาตำรับเดียวที่ครอบคลุมคนไข้ทุกคน จากภาพรวมทั้งหมดยาทั้ง ยาฟาวิพิราเวียร์  ฟ้าทะลายโจร เหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง เป็นยาที่เน้นการขับพิษร้อน ขจัดสิ่งก่อโรคเป็นหลัก จึงเหมาะสำหรับใช้เพื่อการรักษาเมื่อมีการติดเชื้อและมีอาการอักเสบ ไอ มีไข้ เจ็บคอ  อย่างไรก็ตามอาจพิจารณาให้การรักษาผู้ป่วยติดเชื้อทันที ทั้งที่ยังไม่มีอาการเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดโรครุนแรงได้ ทั้งนี้ยังต้องระมัดระวังอีกด้านหนึ่งคือปัญหาการดื้อยา ผลข้างเคียงของยาและการรักษาที่เกินความจำเป็น การรักษาทางคลินิกแบบแพทย์แผนจีนจึงต้องมีการปรับลดตัวยาในตำรับให้สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงของผู้ป่วย 1. ยาเหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง เป็นตำรับยาฤทธิ์เย็น มียาขับพิษขับร้อน …

ข้อสรุป “ยาเหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง” รักษาโควิด-19 ได้จริงหรือ? Read More »

“เหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง” ยาป้องกันและรักษาโควิด จริงหรือ?

ความจริงก็คือ เหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง  (连花清瘟胶囊) ไม่ใช้ในการป้องกันโควิด-19 แต่ใช้ในการรักษาเท่านั้น  อย่าหลงเชื่อการโฆษณาคำกล่าวอ้างว่าสามารถรับประทานทั้งป้องกันและรักษาและสามารถกินได้ทุกเพศทุกวัยแม้มีโรคประจำตัว วันที่ 2 เมษายน 2563 FDA ของประเทศจีนได้อนุมัติเพิ่มข้อบ่งใช้รักษา COVID-19 ให้กับ Lianhua Qingwen Capsule (เหลียนฮัว ชิงเวิน แคปซูล) อย่างเป็นทางการ โดยเพิ่มข้อบ่งใช้รักษา COVID-19 ในระดับเบา (Mild case) ที่แสดงอาการไข้ อ่อนเพลียหรือไอ และระดับปานกลาง (Moderate Case) ที่แสดงอาการไข้ อ่อนเพลียหรือไอ ร่วมกับปอดอักเสบ(กลุ่มสีเหลือง) ควบคู่กับการรักษาตามมาตรฐานของแผนปัจจุบัน โดยขนาดรับประทาน 4 แคปซูล 3 เวลา นาน 7-10 วัน สำหรับตัวยาส่วนประกอบของ เหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง มีด้วยกัน 13 ชนิด ดังนี้ 1. จินหยินฮวา (金银花) ฤทธิ์เย็นเล็กน้อย รสหอม ขมเล็กน้อย มีสรรพคุณขับพิษ …

“เหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง” ยาป้องกันและรักษาโควิด จริงหรือ? Read More »

“เหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง” ยาจีนสำเร็จรูปป้องกันและรักษาโควิด?

สถานการณ์โควิดสายพันธุ์เดลต้าของประเทศไทยต้นเดือนสิงหาคม 2564 มียอดคนติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นทะลุ 20,000 คนต่อวัน และตายเกิน 200 คนต่อวัน ซึ่งดูแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไปอีกระยะหนึ่ง ด้วยการประเมินจากจำนวนผู้ฉีดวัคซีนทั่วประเทศที่มีไม่ถึง 10% และการตรวจเชิงรุกหาเชื้อ Covid-19 ด้วย Antigen Kit Test (ATK) และ RT-PCR มากขึ้น โควิดสายพันธุ์เดลต้า แพร่กระจายค่อนข้างรวดเร็ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรืออาการเล็กน้อยแต่เป็นพาหะ สามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่น โดยเฉพาะคนใกล้ตัว ครอบครัว ชุมชนที่อยู่กันแออัด ในที่อากาศไม่ถ่ายเท ผู้สูงอายุโดยเฉพาะคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง และมีโรคประจำตัวจัดเป็นประชากรกลุ่มเสี่ยง เมื่อติดเชื้อแล้ว มีโอกาสลุกลามไปถึงปอด ทำให้เสียชีวิตได้ง่าย   ความตื่นตระหนกเกิดขึ้นอย่างมาก เมื่อมีข่าวผู้ที่เคยได้วัคซีนครบ 2 เข็มแล้วยังติดโควิด โรงพยาบาลมีเตียงไม่พอรองรับ อัตราการครองเตียงในกทม.เต็ม 100% ไอซียูติดลบ มีข่าวผู้ป่วยนอนตายในบ้าน นอนตายข้างถนน คนติดเชื้อในกลุ่มสีเขียวอาการไม่มากต้องแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) หรือแยกกักตัวในชุมชน(Community Isolation) หรือ Hospitel  หรือโรงพยาบาลสนามตามสถานะและเงื่อนไขของแต่ละคน ยาและสมุนไพรที่ผู้คนเรียกหาในท้องตลาด เมื่อระบบสาธารณสุข บุคคลากรทางการแพทย์เริ่มรับมือไม่ไหวกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น …

“เหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง” ยาจีนสำเร็จรูปป้องกันและรักษาโควิด? Read More »

สมุนไพรจีนกับสารสกัดจากสมุนไพร ต่างกันอย่างไร?

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการใช้สมุนไพร หรืออาหารเสริมสุขภาพ ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ไม่มีพิษภัยใดๆ แต่แท้จริงแล้ว ยาในทัศนะแพทย์จีนล้วนมีพิษทั้งสิ้น ในคัมภีร์ “หวงตี้เน่ยจิง” ได้กล่าวถึงบทบาทของยาและอาหารในการรักษาโรคไว้อย่างชัดเจน  ยาสมุนไพรก็มีพิษกระบวนการของการเกิดโรค บางโรคกว่าจะแสดงอาการใช้เวลานานค่อยๆ สะสมทางปริมาณจนถึงจุดเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ แต่บางโรคเกิดขึ้นทันที  ส่วนยาที่ใช้รักษาก็มีทั้งยาตำรับใหญ่  ตำรับเล็ก  มีพิษและไม่มีพิษ จึงต้องวิเคราะห์ให้ถ่องแท้ยาที่มีพิษมากใช้รักษาโรค ๑๐ ส่วน สามารถขจัดโรคได้แค่ ๖ยาที่มีพิษธรรมดาใช้รักษาโรค ๑๐ ส่วน สามารถขจัดโรคได้แค่ ๗ยาที่มีพิษน้อยใช้รักษาโรค ๑๐ ส่วน สามารถขจัดโรคได้แค่ ๘ยาที่ไม่มีพิษใช้รักษาโรค ๑๐ ส่วน สามารถขจัดโรคได้แค่ ๙แต่การกินอาหารบางประเภท เช่น ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ เพื่อดูแลสุขภาพสามารถขจัดโรคได้ทั้งหมด สรุปก็คือ ขึ้นชื่อว่ายาแล้ว ล้วนมีพิษ การกินอาหารตามใจตัวเองก็อาจจะกลายเป็นพิษได้เช่นกัน  ควรใช้อาหารเพื่อช่วยในการรักษาโรค แต่เมื่อไม่ได้ผลจึงค่อยคิดถึงการใช้ยายาที่มีพิษด้านหนึ่งรักษาโรค แต่ก็มีผลกระทบต่อร่างกาย จึงไม่สามารถกำจัดโรคได้อย่างสิ้นเชิง ต้องกินอาหารที่เหมาะสมเสริมเข้าไปเพื่อสร้างสมดุลภายในร่างกาย ศาสตร์ของแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญต่ออาหารเป็นอย่างมาก เพราะอาหารบางอย่างในบางเงื่อนไขก็คือยาพิษ ที่สามารถทำลายร่างกายหรือทำให้โรครุนแรงขึ้นได้เช่นกัน  อาหารอย่างดีก็เป็นพิษ มีเรื่องเล่ากันว่า ในสมัยราชวงศ์หมิง กษัตริย์จูหยวนจางได้ทำการหาเหตุฆ่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และครอบครัว ๙ …

สมุนไพรจีนกับสารสกัดจากสมุนไพร ต่างกันอย่างไร? Read More »

เกลือจิ้มเกลือ อารมณ์ควบคุมอารมณ์

ในทางการแพทย์สมัยใหม่เชื่อว่า การตอบสนองของอารมณ์ เป็นปรากฏการณ์ชั่วขณะที่เกิดขึ้นจากระบบประสาท และสามารถถูกแทนที่ด้วยอารมณ์อื่นได้ นี่คือหลักเบื้องต้นที่มาของเทคนิคการใช้อารมณ์พิชิตอารมณ์ เป็นการสร้างสมดุลของอารมณ์ที่เกิดจากภาวะมากเกินไป นำไปสู่การเสียสมดุลของปัญจธาตุต่างๆของร่างกาย ตำราคัมภีร์ซู่เวิ่นของจีน มีข้อความกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ความเศร้าโศกเสียใจ ควบคุม ความโกรธ” “ความดีใจ ควบคุม ความเศร้าโศกเสียใจ” “ความวิตกกังวล ควบคุม ความกลัว, ตกใจ” “ความโกรธ ควบคุม ความวิตกกังวล” “ความกลัว, ตกใจ ควบคุม ความดีใจ” ตำราอีฟางเข่า กล่าวว่า “โรคที่เกิดจากอารมณ์ที่ไม่สามารถรักษาด้วยยา จะต้องรักษาด้วยอารมณ์ ความคิด เหตุผล และความเข้าใจ รากเหง้าของปัญหา” หลักการใช้อารมณ์ควบคุมอารมณ์ 1. เสริมสร้างความคิดสุขนิยม มองโลกในแง่ดี ความคิดสุขนิยมและการมองโลกในแง่ดี เป็นพื้นฐานของการเสริมสร้างความมั่นใจในการเอาชนะ โรคภัยไข้เจ็บ และการเอาชนะกับอุปสรรคทั้งปวง จิตที่สงบเป็นโอสถ ตำรับที่หาที่เปรียบไม่ได้ ความเจ็บป่วยทางกายมีผลต่ออารมณ์ความคิดกังวลว่าจะไม่หาย ทำให้ตนเองเป็นภาระของครอบครัวของสังคม เกิดอารมณ์แปรปรวนหลายๆอารมณ์ ซึ่งจะไปบั่นทอน ความเจ็บป่วยทางกาย ทำให้โรคกำเริบมากขึ้น ภาวะจิตที่สงบ มองโลกในแง่ดี จะทำให้การไหลเวียนของพลังและเลือดลื่นไหล ไม่สะดุดหรือถูกอุดกั้น (แต่ไม่ใช่ไหลรุนแรงรวดเร็วเหมือนภาวะตื่นเต้นตกใจหรือโมโห) …

เกลือจิ้มเกลือ อารมณ์ควบคุมอารมณ์ Read More »

ฉีดยาเข้าจุดฝังเข็ม รักษาโรคได้จริงหรือ?

พูดถึงการฉีดยา เรามักคุ้นเคยกับการฉีดยาที่ต้นแขน สะโพก การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำที่หลังมือ หรือแขน ยาที่ฉีดก็คิดถึงยาแผนปัจจุบัน ถ้ามีหมอเกิดเอายาฉีดที่เป็นสมุนไพร หรือยาแผนปัจจุบัน หรือบางครั้งเอาเลือดที่ดูดจากคนไข้คนเดียวกันฉีดเข้าไปในตัวคนไข้เอง ฉีดเข้าไปตำแหน่งอื่น เช่น ที่หน้าแข้ง หรือจุดต่างๆ ตัว แขน ขา ลำตัว ต้นคอ คงทำให้หลายคนแปลกใจ หรือสงสัยว่าได้มาตรฐานหรือเปล่า หรือมีเหตุผลอะไรรองรับ การฉีดยาเข้ากล้ามสะโพก ที่ต้นแขน หรือสะโพก ในทรรศนะแพทย์แผนปัจจุบัน ต้องการให้ยาดูดซึมผ่านหลอดเลือดบริเวณที่มีกล้ามเนื้ออุดมสมบูรณ์ เพื่อยาจะดูดซึมได้ดี และหลีกเลี่ยงการทำลายถูกเส้นประสาท ทั้งเป็นตำแหน่งที่สะดวกในการฉีดด้วย การฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังสามารถฉีดได้หลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่ก็นิยมฉีดตามแขน หัวไหล่ ฉีดยาเข้าจุดฝังเข็มมีประวัติยาวนานแค่ไหน?ในตำราศาสตร์แผนจีนสมัยโบราณ มีแต่การแทงเข็มหรือฝังเข็ม โดยใช้เข็มที่ทำจากหินในระยะแรก ภายหลังพัฒนาเป็นการใช้โลหะ ปัจจุบันใช้เป็นสเตนเลสแทงเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้ถึงจุดฝังเข็มจนกระทั่งได้ความรู้สึกที่เรียกว่า “ได้ลมปราณ”  เพื่อให้มีการกระตุ้นการไหลเวียนของพลังลมปราณที่ตำแหน่งนั้น และสามารถส่งผ่านไปตามเส้นลมปราณไปยังส่วนอื่นๆ รวมถึงอวัยวะภายใน การฉีดยาเข้าจุดฝังเข็ม เขาเรียกว่า สุ่ยเจิน เป็นวิธีที่เริ่มต้นมาประมาณ 60 ปีเศษ เป็นผลของการพัฒนาศาสตร์แพทย์แผนจีนที่ได้ประยุกต์ และบูรณาการการแพทย์แผนปัจจุบันเข้าด้วยกันเช่นเดียวกับการฝังเข็มหู การใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าแทนการกระตุ้นด้วยการใช้มือหมุนเข็ม การฝังเข็มศีรษะ ทำไมต้องฉีดยาเข้าจุดฝังเข็ม วิธีนี้มีข้อเด่นอย่างไร?การฉีดยาเข้าจุดฝังเข็ม ใช้หลักทฤษฎีพื้นฐานแพทย์แผนจีนชี้นำ คือ การกระตุ้นจุดฝังเข็มกระตุ้นการไหลเวียนของเส้นลมปราณโดยผ่านจุดฝังเข็ม …

ฉีดยาเข้าจุดฝังเข็ม รักษาโรคได้จริงหรือ? Read More »

หลอดลมอักเสบเรื้อรัง

ปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ซึ่งจะเป็นมากในฤดูฝนและฤดูหนาวสาเหตุที่เกิดยังไม่ชัดเจน แต่คนที่สูบบุหรี่จัดจะเป็นมาก เมื่อเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง จะทำให้ผิวหลอดลมและหลอดลมฝอย มีการบวมหนามีการหลั่งเมือกหรือเสมหะออกมามากกว่าปกติ มีผลให้หลอดลม มีลักษณะตีบแคบลงทำให้ลมหายใจเข้า-ออกได้ยากลำบาก ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการไอและมีเสลดติดต่อกันนานกว่า ๖ เดือนขึ้นไป หรือเป็นอย่างน้อย ปีละ ๓ เดือนติดต่อกัน ๒ ปีขึ้นไป ถ้าเป็นมากๆ จะไอถี่ เสลดจะเป็นสีขาว เหลือง เขียว บางครั้งมีไข้ หรือเลือดปน ถ้าเป็นนานๆ ก็จะเป็นหอบ เหนื่อย ร่วมด้วย หรือร่วมกับถุงลมพอง โรคหัวใจ การแพทย์แผนปัจจุบัน การรักษามักจะใช้ยาละลายเสมหะ ยาแก้ไอ ยาขยายหลอดลม ให้กินระยะ ยาวๆ ถ้าเป็นมากๆ ใช้ยาปฏิชีวนะยาภูมิแพ้ บางครั้งอาจใช้พวกกลุ่ม ยาสตีรอยด์ (steroid) ซึ่งการใช้ยาประเภทนี้นานๆ ก็มักจะมีผลข้างเคียง ที่เราไม่ต้องการเกิดขึ้นมากกว่าผล ที่ได้รับ เนื่องจากผู้ป่วยประเภทนี้เป็น โรคเรื้อรังเป็นแล้วเป็นอีกซ้ำๆ ซากๆ เวลาไปพบแพทย์ได้ยามากินก็หายหยุดก็เป็นอีก บางคนเป็นมาก ได้รับ ยาแล้วก็ทนผลข้างเคียงของยาไม่ไหว พอนานๆ เข้าก็เกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย …

หลอดลมอักเสบเรื้อรัง Read More »

มารู้จัก “การครอบแก้ว”

“การครอบแก้ว” เป็นวิธีการรักษาของแพทย์แผนจีนโบราณ โดยใช้ความร้อนทำให้อากาศในช่องว่างของกระบอกที่กลวงมีการลดความดันภายในลง เกิดมีแรงดึงกลับภายในกระบอก เมื่อนำเอากระบอกมาวางตรงส่วนต่างๆของร่างกาย (ตามจุดฝังเข็มหรือแนวเส้นลมปราณ) จะมีการดูดเอาผิวหนังและกล้ามเนื้อเข้าไปในกระปุก ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นผิวหนังจะเกิดจ้ำเลือดแดงๆ จากการคั่งของเลือด เป็นไปตามจุดประสงค์การรักษาของโรค ต่อมามีการพัฒนามาใช้กระปุกพลาสติกแบบที่ดูดทำให้เกิดสุญญากาศ กลไกสำคัญของการครอบแก้ว – กระตุ้นการไหลเวียนเลือด บริเวณที่มีการครอบแก้วจะมีการหลั่งสารเคมี เป็นการส่งสัญญาณไปสมองเพื่อการปรับตัวเพื่อให้มีการซ่อมแซมบริเวณนั้น – ร่างกายจะมีการหลั่งสารคล้ายฮีสตามีน และกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆ เพื่อเพิ่มระบบภุมิคุ้มกัน – เปิดรูขุมขน กระตุ้นการทำงานในการขับพิษออกจากผิวหนัง มีการกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้มำทำการเก็บกวาดสิ่งสกปรกและของเสียบริเวณนั้น ติดตามข้อมูลข่าวสารอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/samluangclinic