ความผิดปกติของร่างกายในมุมมองของแพทย์แผนจีน

พยากรณ์ร่างกายได้จาก “นิ้ว”

ดังที่เคยได้กล่าวแล้วว่าร่างกายของมนุษย์เป็นองค์รวมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่ออวัยวะหนึ่งอวัยวะใดเกิดโรค ก็จะส่งผลกระทบต่อร่างกายทั้งระบบ ด้วยเหตุนี้การดูลักษณะของนิ้วมือจึงสามารถบอกความแข็งแรงของอวัยวะได้ 1. หัวแม่มือ  นิ้วมือทั้ง 5 นั้น นิ้วหัวแม่มือทางการแพทย์จีนถือว่าเป็นนิ้วที่สำคัญที่สุด ลักษณะของนิ้วหัวแม่มือสามารถคาดคะเนความแข็งแรงของร่างกายตั้งแต่กำเนิดและสมรรถนะของสมองได้ กล่าวโดยทั่วไปแล้ว คนที่ร่างกายแข็งแรงนิ้วหัวแม่มือค่อนข้างกลม ยาว และแข็งแรง ความยาวของข้อนิ้วสม่ำเสมอ ถ้านิ้วหัวแม่มือหยาบและใหญ่มักเป็นผู้ที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ถ้านิ้วหัวแม่มือแบนเรียบและอ่อน มักเป็นผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอไม่ค่อยมีความอดทน ถ้านิ้วหัวแม่มือคดงอมักมีอาการทางประสาท ถ้านิ้วหัวแม่มือสั้นและเล็กจิตใจมักไม่มั่นคนเป็นคนขี้ขลาด ความมุ่งมั่นน้อย การแก้ไขคือควรได้รับการหล่อหลอมจากสังคม เพื่อให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ถ้าลายเส้นบนนิ้วข้อพับข้อที่สองของนิ้วหัวแม่มือยุ่งเหยิง และด้านข้างของข้อนิ้วที่สองมีเส้นยุ่งแสดงว่าเป็นผู้ที่เครียดง่าย มีโอกาสเป็นโรคปวดหัวและนอนไม่หลับได้ง่าย ถ้าข้อนิ้วหัวแม่มือสั้นและแข็ง งอลำบาก จะเป็นโรคความดันโลหิต โรคหัวใจ และอัมพาตได้ง่าย 2. นิ้วชี้  นิ้วชี้ที่มีลักษณะดีคือค่อนข้างกลม สวย และแข็งแรง ข้อนิ้วมีความยาวใกล้เคียงกัน ข้อล่างจะสั้นกว่าข้อบนเล็กน้อย นิ้วตรง ถ้าชิดกันนิ้วจะแนบสนิทกับนิ้วกลางแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะที่ดีของตับและถุงน้ำดีถ้าข้อนิ้วข้อแรกของนิ้วชี้ยาวเกินไป มักเป็นผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรง แต่ถ้าข้อนิ้วข้อที่สองหยาบ แสดงว่าการดูดซึมของธาตุแคลเซียมไม่ดี กระดูกและฟันไม่แข็งแรง ถ้านิ้วข้อที่สามสั้นเกินไป มักเป็นผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางด้านประสาทได้ง่าย ถ้านิ้วชี้ซีดและผอมแสดงว่าสมรรถนะของตับและถุงน้ำดีไม่ดี เป็นผู้ที่อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่กระฉับกระเฉง แต่ถ้าปลายนิ้วเอียง ลายเส้นบนข้อพับของข้อนิ้วกลางยุ่งมักเป็นผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับตับ ถุงน้ำดี และโรคดังกล่าวก็จะส่งผลกระทบต่อระบบย่อยลำเลียง …

พยากรณ์ร่างกายได้จาก “นิ้ว” Read More »

“ไขมันในเลือดสูง” ในมุมมองแพทย์แผนจีน

คำว่า “โรคโคเลสเตอรอลในเลือดสูง” ไม่มีในตำราแพทย์จีนโบราณ ดังนั้นถ้ามาตรวจกับแพทย์แผนจีนแล้วบอกว่ามีไขมันในเลือดสูงซึ่งเป็นการวินิจฉัยจากการตรวจเลือดแบบแพทย์แผนปัจจุบัน การรักษาโรคนี้แพทย์จีนจะเน้นไปที่การรักษาสมดุลของการทำงานของอวัยวะภายในและปรับเรื่องการไหลเวียนเลือด พลังและของเหลวในร่างกาย ไม่ให้มีการติดขัด บางครั้งจะกล่าวถึงเสมหะ ความชื้น การทำงานของตับและม้ามไม่สมดุล ต้องขับเสมหะชื้น กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ไม่ให้อาหารตกค้าง รวมทั้งการปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตและการรับประทานอาหาร สาเหตุไขมันในเลือดสูงในมุมมองแพทย์แผนจีน 1. การรับประทานอาหารและการดำเนินชีวิต : อุปนิสัยการกิน ทำงานหักโหม ขาดการพักผ่อน ความเครียดทางอารมณ์ ทำให้การทำงานของอวัยวะภายในแปรปรวน เกิดเสมหะความชื้นและเลือดอุดกั้น 2. การทำงานของอวัยวะภายในเสียสมดุล โดยอวัยวะหลักที่เกี่ยวข้อง คือ ตับ ม้าม ไต พลังตับติดขัดอุดกั้นทำให้การไหลเวียนเลือดไม่คล่อง กลไกพลังในช่องกลางตัว (ซานเจียว) ที่ทำหน้าที่เป็นเส้นทางลำเลียงน้ำและของเหลวทั่วร่างกายก็ติดขัดไปด้วย ระบบย่อยและลำเลียงอาหาร (ม้าม) มีประสิทธิภาพลดลง กลายเป็นความชื้นตกค้าง ไตกำกับน้ำ ถ้าพลังไตอ่อนแอ การขับระบายน้ำไม่ดี พลังความร้อนในร่างกายน้อย เกิดความชื้นตกค้างในร่างกาย อีกด้านหนึ่งกรณีไตยินพร่อง (ทำให้เกิดความร้อนและแห้งในเซลล์ต่างๆของร่างกาย) ก็จะทำให้ของเหลวเหนียวข้นเป็นเสมหะและเลือดอุดกั้นเช่นกัน ดังนั้น ไขมันในเลือดสูงในความหมายแพทย์แผนจีน คือ เสมหะความชื้น เลือดอุดกั้น ม้ามพร่องเกิดความชื้นเสมหะ มีเลือดอุดกั้นจากพลังตับติดขัด ยินพร่องเกิดเสมหะเลือดอุดกั้น …

“ไขมันในเลือดสูง” ในมุมมองแพทย์แผนจีน Read More »

อายุขัย กับการเกิดโรค

สังขารของคนเราเป็นอนิจจัง มีการเกิด การพัฒนา การเสื่อม และการดับสูญในที่สุด เมื่อชีวิตได้ถือกำเนิดก็มีการเจริญเติบโต พัฒนาจนเป็นเด็ก วัยหนุ่มสาว ร่างกายแข็งแรงถึงจุดสูงสุด จากนั้นก็เริ่มสู่วัยเสื่อมถอย ความชราภาพเข้าแทนที่ จนถึงการดับสูญของชีวิตในที่สุด กฎของการเกิดพัฒนา-เสื่อมถอยและดับสูญ เป็นกฎของสรรพสิ่งในจักรวาล แพทย์แผนจีนได้สรุปความสัมพันธ์ของโรคภัยไข้เจ็บกับอายุขัยของแต่ละช่วงของร่างกายมนุษย์ไว้อย่างน่าสนใจ เนื่องจากในแต่ละช่วงของอายุมีสภาพทางสรีระ ภาวะความคุ้มกัน และพลังในการต่อสู้กับโรค (ปัจจัยก่อโรคทั้ง 6 ได้แก่ เย็น ร้อน ชื้น ลม แห้ง ไฟ และอารมณ์ ทั้ง 7) แตกต่างกัน ทำให้แต่ละช่วงอายุมีจุดอ่อน จุดแข็ง ของร่างกายไม่เหมือนกัน ซึ่งสามารถสรุปเป็นกฎเกณฑ์ได้ ดังนี้ จั้ง-ฝู่ (อวัยวะภายในที่ควบคุม การทำงานทั้งหมดของร่างกาย) ของทารกหรือเด็กเล็กค่อนข้างอ่อนแอ ไม่แข็งแรง เนื่องจากยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ทำให้การทำงานของระบบต่างๆก็ไม่สมบูรณ์ การทำงานของระบบเลือด พลังการสร้างสารน้ำ สารคัดหลั่ง รวมทั้งน้ำย่อย ฮอร์โมนก็มีภาวะไม่แน่นอนคงที่ มีความแปรปรวน แพทย์จีนเรียกภาวะนี้ว่า “เป็นภาวะยิน-หยาง ยังไม่สุกงอมสมบูรณ์” สรีรสภาพที่เปราะบาง แปรปรวน ทำให้เลือดและพลังยังไม่ …

อายุขัย กับการเกิดโรค Read More »

กินอย่างไร ให้มีผลต่อสุขภาพ

โบราณกล่าวว่า “โรคเกิดจากช่องทวารปาก” ซึ่งมีความหมายหลายนัยด้วยกัน 1. กินอาหารที่ไม่สะอาดอาหารที่ไม่สะอาดทำให้มีเชื้อโรค พยาธิ สารพิษ เข้าสู่ร่างกาย เกิดอาการปวดท้องแน่นท้อง อาเจียน เป็นบิด มีพยาธิ อาหารที่เน่าเหม็น ทำให้เกิดการหมักหมม มีพิษสะสม เกิดอาการต่างๆ ตามมามากมาย 2. เวลาและปริมาณที่กินไม่เหมาะสมหลักการเลือกปริมาณการกิน คือ หลักที่ว่าไม่ควรให้หิวจัดหรืออิ่มจัด และ “อาหารเช้าต้องดี อาหารเที่ยงต้องอิ่ม อาหารเย็นต้องน้อย” ปริมาณมื้อเช้าร้อยละ ๓๕ มื้อเที่ยงร้อยละ ๔๐ มื้อเย็นร้อยละ ๒๕ โบราณกล่าวว่า “มื้อเย็นลดน้อยหน่อย ชีวิตยืนยาวถึงเก้าสิบ” เป็นการเน้นถึงปริมาณอาหารมื้อเย็น ควรอยู่ในปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับมื้ออื่น เพื่อลดการทำงานของระบบการย่อยอาหาร ป้องกันการตกค้างของอาหารในกระเพาะอาหาร ลำไส้ ป้องกันภาวะอ้วน ป้องกันการนอนหลับไม่สนิท ลดการรบกวนภาวะพักผ่อนฟื้นฟูของร่างกาย ซึ่งเป็นพื้นฐานของการบำรุง ดูแลสุขภาพ เพื่อให้เกิดอายุยืนยาว นอกจากนี้หลังอาหารใหม่ๆ ไม่ควรนอนหลับทันที แพทย์แผนจีนถือว่า ถ้าภาวะอาหารในกระเพาะอาหารยังมีอยู่จะรบกวนการนอนหลับ ด้านกลับกัน การนอนหลับก็เป็นการทำให้ระบบย่อยทำงานน้อยลง (อยู่ในภาวะพักฟื้นฟู) ผลทำให้อาหารตกค้าง ไม่ดูดซึม เกิดความร้อนในร่างกายไปรบกวนการนอนหลับทำให้หลับไม่สนิทอีกจึงมีคำกล่าวว่า “หลังอาหารเดินร้อยก้าว บรรลุเก้าสิบเก้าอายุขัย” เพื่อต้องการให้มีการเคลื่อนไหวเบาๆ ในทางวิทยาศาสตร์ เราพบว่า การเดินหลังอาหารเย็นจะช่วยลดปริมาณฮอร์โมนอินซูลินในกระแสเลือดที่หลั่งมากในตอนเย็น (อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากตับอ่อน ถ้ามีมากจะทำให้มีการแปรเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆของร่างกายทำให้อ้วน) …

กินอย่างไร ให้มีผลต่อสุขภาพ Read More »

รักษาอาการปวด แบบแพทย์แผนจีน

แพทย์แผนจีนอธิบายสาเหตุของอาการปวดเกิดจากการไหลเวียนของเลือดและพลังลมปราณในเส้นลมปราณ (Meridian) ติดขัด ไม่คล่อง : ความคล่อง-ไม่ติดขัด (ของเลือดและพลัง) ทำให้ไม่เจ็บปวดการปวดก็เพราะการติดขัด-ไม่คล่อง (ของเลือดและพลัง) ตัวอย่างการรักษาอาการปวด– ปวดชายโครงผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทบกระเทือนชายโครง แม้ว่าจะมีกระดูกซี่โครงหักหรือไม่ก็ตาม เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณชายโครงย่อมได้รับบาดเจ็บ ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการปวดแน่นๆ หายใจไม่สะดวก (ทั้งนี้รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคงูสวัด) ตามแนวชายโครง แพทย์แผนปัจจุบัน : มักให้การรักษาด้วยยาระงับปวด ยากล่อมประสาท หรือฉีดยาชาเฉพาะที่ที่มีการกดเจ็บแพทย์แผนจีน : มองว่าเส้นลมปราณ ถุงน้ำดี และตับ ซึ่งเป็นเส้นลมปราณบริเวณด้านข้างลำตัวถูกกระทบกระเทือนทำให้เลือดและพลังติดขัด การรักษาจึงต้องทะลวงการอุดกั้นของเส้นลมปราณให้คล่องตัว อาการปวดจึงจะทุเลา ในทางคลินิกจะพบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีภาวะทางอารมณ์หงุดหงิดร่วมด้วย (เพราะการไหลเวียนติดขัดของถุงน้ำดี จะสัมพันธ์กับพลังของตับ)– ผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบแพทย์แผนปัจจุบัน : มักให้การรักษาด้วยการผ่าตัดไส้ติ่งหรือถุงน้ำดีทิ้งแพทย์แผนจีน : มองว่าการอักเสบเป็นผลจาก อุดกั้นของของเสียในลำไส้ใหญ่ จนเกิดความร้อน ความชื้นตกค้าง การระบายความร้อนความชื้นของอวัยวะกลวง ลำไส้ใหญ่ และถุงน้ำดี จะทำให้ลดอาการอักเสบ การปวดได้ บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้การผ่าตัดตามความเชื่อของการแพทย์แผนปัจจุบันทั้งหมด– คออักเสบแพทย์แผนปัจจุบัน : มักให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่ไวต่อเชื้อกับยาแก้ปวดลดไข้แพทย์แผนจีน : นอกจากจะใช้ยาสมุนไพรขับพิษขับร้อนแล้ว คออักเสบมีความเกี่ยวกับเส้นลมปราณปอด การขับความร้อนบนเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่ (สัมพันธ์กับปอด)ออกโดยการถ่ายอุจจาระหรือระบายความร้อนบนจุดฝังเข็มปลายทางของเส้นลมปราณปอด (จุดซ่าวซาง) ทำให้อาการเจ็บคอและการอักเสบจะทุเลาได้เร็วขึ้น– ปวดประจำเดือนผู้หญิงที่ปวดประจำเดือนที่ไม่ได้เป็นโรคเกี่ยวกับมดลูกหรือรังไข่ หรือที่อาจถือว่าเป็นธรรมดาของผู้หญิงส่วนใหญ่ แผนปัจจุบันเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการแปรปรวนของฮอร์โมนระหว่างที่มีประจำเดือนและมีการหลั่งสารพรอสตาแกลนดิน (prostaglandins) มากผิดปกติ ทำให้มดลูกหดเกร็งตัว เกิดอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย แพทย์แผนปัจจุบัน …

รักษาอาการปวด แบบแพทย์แผนจีน Read More »

ข้อสรุป “ยาเหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง” รักษาโควิด-19 ได้จริงหรือ?

ในมุมมองแพทย์แผนจีน การเกิดโรค อาการ และความรุนแรงของโรค เป็นผลจากการต่อสู้กันของสิ่งก่อโรคที่เข้า่สู่ร่างกายกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (เจิ้งชี่) การเอาชนะโรคจึงต้องเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงเป็นหลัก และป้องการเข้าสู่ร่างกายหรือรีบทำลายเมื่อเชื้อยังมีปริมาณน้อย ช่วงที่สิ่งก่อโรคหรือศัตรูยังไม่ได้บุกเข้าร่างกาย ต้องเน้นการปิดช่องทางเข้าของเชื้อโรค(ผิวหนัง เยื่อบุทางเดินหายใจ)และเสริมสร้างปอดและพลังปกป้องผิว (เว่ยชี่卫气) ใช้การบำรุงเป็นด้านหลักเพื่อเตรียมพร้อม ไม่ใช่ไปเน้นการทำลายหรือการต่อสู้กับสิ่งก่อโรค(เพราะเชื้อโรคยังไม่ได้เข้าสู่ร่างกาย) การใช้ยารักษาในการป้องกันจึงไม่มีประโยชน์และจะมีโทษมากกว่า เหมือนยังไม่เป็นมะเร็งแล้วไปกินยารักษามะเร็ง จึงเป็นเหตุผลที่ว่ายารักษาโควิด-19 ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ยาฟาวิพิราเวียร์หรือฟ้าทะลายโจรหรือยาเหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง ที่มีฤทธิ์ทำลายลดการแบ่งตัวของไวรัส (ขับพิษขับร้อน) จึงต้องใช้รักษาเมื่อมีการติดเชื้อและมีอาการพิษร้อน เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายแล้ว เกิดปฏิกิริยาการต่อสู้กันระหว่างร่างกายกับสิ่งก่อโรคบางคนไม่มีอาการ บางคนมีอาการไม่มาก บางคนมีอาการมาก หลักการรักษาของแพทย์แผนจีน แม้ว่าจะต้องให้ความสำคัญมีตัวยาสมุนไพรขับพิษ รวมถึงขับปัจจัยก่อโรคอื่นๆ เช่น ความเย็น ความร้อน ความชื้น เสมหะ แต่ยังต้องให้ความสำคัญในการเสริมภูมิปรับสมดุลควบคู่ไปด้วย การต่อสู้กับโรคโควิด-19 จึงไม่มียาตำรับเดียวที่ครอบคลุมคนไข้ทุกคน จากภาพรวมทั้งหมดยาทั้ง ยาฟาวิพิราเวียร์  ฟ้าทะลายโจร เหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง เป็นยาที่เน้นการขับพิษร้อน ขจัดสิ่งก่อโรคเป็นหลัก จึงเหมาะสำหรับใช้เพื่อการรักษาเมื่อมีการติดเชื้อและมีอาการอักเสบ ไอ มีไข้ เจ็บคอ  อย่างไรก็ตามอาจพิจารณาให้การรักษาผู้ป่วยติดเชื้อทันที ทั้งที่ยังไม่มีอาการเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดโรครุนแรงได้ ทั้งนี้ยังต้องระมัดระวังอีกด้านหนึ่งคือปัญหาการดื้อยา ผลข้างเคียงของยาและการรักษาที่เกินความจำเป็น การรักษาทางคลินิกแบบแพทย์แผนจีนจึงต้องมีการปรับลดตัวยาในตำรับให้สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงของผู้ป่วย 1. ยาเหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง เป็นตำรับยาฤทธิ์เย็น มียาขับพิษขับร้อน …

ข้อสรุป “ยาเหลียนฮัวชิงเวินเจียวหนัง” รักษาโควิด-19 ได้จริงหรือ? Read More »

การนอนหลับ วิธีบำรุงรักษาพลังหยางที่ดีที่สุด

พลังหยาง (阳气) คือพลังของชีวิต ในวัยเด็กพลังหยางค่อยๆ สะสมตัว เด็กเจริญเติบโตมีพละกำลังคล่องแคล่วว่องไว ไม่เหนื่อยง่าย จนพลังหยางสูงสุดในวัยหนุ่มสาว และเข้าสู่วัยกลางคน พลังหยางก็เริ่มถดถอยลดน้อยลง ร่างกายก็ไม่กระฉับกระเฉง ความคิดอ่าน ความจำ ความว่องไวทางประสาท สมอง ก็ลดลงเรื่อยๆ ถึงวัยชราภาพ พลังหยางน้อยลงไปอีกและหมดไปในที่สุดพร้อมกับการดับลงของชีวิต เป็นวัฏจักรของการเกิด พัฒนา เสื่อมถอย และการตาย การบำรุงพลังหยางจึงมีความสำคัญต่อชีวิต เพราะเป็นตัวกำหนดการเกิด พัฒนาและการเสื่อมถอยของร่างกาย ยังรวมถึงโอกาสการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ของร่างกายและจิตใจด้วยแต่ก่อนจะไปศึกษาค้นคว้าหาสิ่งภายนอกมาบำรุงรักษาพลังหยาง ควรกลับมาพิจารณาวิธีการที่เป็นธรรมชาติและประหยัดที่สุด ที่เราสามารถกำหนดและปฏิบัติได้เอง คือ การนอนหลับช่วงเวลาจื่อสือ (子时觉) ระหว่างเวลา 23.00 – 01.00 น. การเกิดของพลังหยาง เริ่มต้นที่เวลา 23.00 – 01.00 น.ช่วงพลังลมปราณไหลผ่านเส้นลมปราณถุงน้ำดีกลางคืนพลังยินมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเที่ยงคืน ระหว่างเวลา 23.00 – 01.00 น. คือช่วงเปลี่ยนผ่านจากพลังยินสูงสุด และการก่อเกิดพลังหยาง พลังหยางจะเก็บสะสมได้มากในภาวะที่สงบที่สุด การตื่นนอนหรือยังไม่หลับ เป็นการใช้พลังหยางทำให้การเกิดสะสมตัวของพลังหยางถูกรบกวน ไม่สามารถสะสมได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหมายถึงสต็อกพลังหยางที่จะถูกนำไปใช้ในวันใหม่จะน้อยลง ส่งผลเสียต่อการทำงานในช่วงกลางวันของวันใหม่ ทำให้เหนื่อยง่าย ง่วงนอน …

การนอนหลับ วิธีบำรุงรักษาพลังหยางที่ดีที่สุด Read More »

เกลือจิ้มเกลือ อารมณ์ควบคุมอารมณ์

ในทางการแพทย์สมัยใหม่เชื่อว่า การตอบสนองของอารมณ์ เป็นปรากฏการณ์ชั่วขณะที่เกิดขึ้นจากระบบประสาท และสามารถถูกแทนที่ด้วยอารมณ์อื่นได้ นี่คือหลักเบื้องต้นที่มาของเทคนิคการใช้อารมณ์พิชิตอารมณ์ เป็นการสร้างสมดุลของอารมณ์ที่เกิดจากภาวะมากเกินไป นำไปสู่การเสียสมดุลของปัญจธาตุต่างๆของร่างกาย ตำราคัมภีร์ซู่เวิ่นของจีน มีข้อความกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ความเศร้าโศกเสียใจ ควบคุม ความโกรธ” “ความดีใจ ควบคุม ความเศร้าโศกเสียใจ” “ความวิตกกังวล ควบคุม ความกลัว, ตกใจ” “ความโกรธ ควบคุม ความวิตกกังวล” “ความกลัว, ตกใจ ควบคุม ความดีใจ” ตำราอีฟางเข่า กล่าวว่า “โรคที่เกิดจากอารมณ์ที่ไม่สามารถรักษาด้วยยา จะต้องรักษาด้วยอารมณ์ ความคิด เหตุผล และความเข้าใจ รากเหง้าของปัญหา” หลักการใช้อารมณ์ควบคุมอารมณ์ 1. เสริมสร้างความคิดสุขนิยม มองโลกในแง่ดี ความคิดสุขนิยมและการมองโลกในแง่ดี เป็นพื้นฐานของการเสริมสร้างความมั่นใจในการเอาชนะ โรคภัยไข้เจ็บ และการเอาชนะกับอุปสรรคทั้งปวง จิตที่สงบเป็นโอสถ ตำรับที่หาที่เปรียบไม่ได้ ความเจ็บป่วยทางกายมีผลต่ออารมณ์ความคิดกังวลว่าจะไม่หาย ทำให้ตนเองเป็นภาระของครอบครัวของสังคม เกิดอารมณ์แปรปรวนหลายๆอารมณ์ ซึ่งจะไปบั่นทอน ความเจ็บป่วยทางกาย ทำให้โรคกำเริบมากขึ้น ภาวะจิตที่สงบ มองโลกในแง่ดี จะทำให้การไหลเวียนของพลังและเลือดลื่นไหล ไม่สะดุดหรือถูกอุดกั้น (แต่ไม่ใช่ไหลรุนแรงรวดเร็วเหมือนภาวะตื่นเต้นตกใจหรือโมโห) …

เกลือจิ้มเกลือ อารมณ์ควบคุมอารมณ์ Read More »

หลอดลมอักเสบเรื้อรัง

ปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ซึ่งจะเป็นมากในฤดูฝนและฤดูหนาวสาเหตุที่เกิดยังไม่ชัดเจน แต่คนที่สูบบุหรี่จัดจะเป็นมาก เมื่อเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง จะทำให้ผิวหลอดลมและหลอดลมฝอย มีการบวมหนามีการหลั่งเมือกหรือเสมหะออกมามากกว่าปกติ มีผลให้หลอดลม มีลักษณะตีบแคบลงทำให้ลมหายใจเข้า-ออกได้ยากลำบาก ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการไอและมีเสลดติดต่อกันนานกว่า ๖ เดือนขึ้นไป หรือเป็นอย่างน้อย ปีละ ๓ เดือนติดต่อกัน ๒ ปีขึ้นไป ถ้าเป็นมากๆ จะไอถี่ เสลดจะเป็นสีขาว เหลือง เขียว บางครั้งมีไข้ หรือเลือดปน ถ้าเป็นนานๆ ก็จะเป็นหอบ เหนื่อย ร่วมด้วย หรือร่วมกับถุงลมพอง โรคหัวใจ การแพทย์แผนปัจจุบัน การรักษามักจะใช้ยาละลายเสมหะ ยาแก้ไอ ยาขยายหลอดลม ให้กินระยะ ยาวๆ ถ้าเป็นมากๆ ใช้ยาปฏิชีวนะยาภูมิแพ้ บางครั้งอาจใช้พวกกลุ่ม ยาสตีรอยด์ (steroid) ซึ่งการใช้ยาประเภทนี้นานๆ ก็มักจะมีผลข้างเคียง ที่เราไม่ต้องการเกิดขึ้นมากกว่าผล ที่ได้รับ เนื่องจากผู้ป่วยประเภทนี้เป็น โรคเรื้อรังเป็นแล้วเป็นอีกซ้ำๆ ซากๆ เวลาไปพบแพทย์ได้ยามากินก็หายหยุดก็เป็นอีก บางคนเป็นมาก ได้รับ ยาแล้วก็ทนผลข้างเคียงของยาไม่ไหว พอนานๆ เข้าก็เกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย …

หลอดลมอักเสบเรื้อรัง Read More »

หยางแท้ – ยินเทียม ร้อนแท้ – เย็นเทียม

“ดิฉันเป็นคนขี้หนาว แขนขาเย็น แต่ตัวร้อน ท้องผูก เป็นแผลร้อนในบ่อย ดิฉันเป็นโรคอะไรค่ะ”Ž“คนใกล้ชิดมักจะบอกว่า ผมมีกลิ่นปาก ผมไปหาหมอฟันแล้วหาสาเหตุไม่ได้ หมอจีนบอกว่าผมร้อนภายใน เพราะเป็นคนกระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก หงุดหงิด ลิ้นและชีพจรก็บ่งบอก และให้ยาผมมากิน ปรากฏว่าดีขึ้นมาก”Ž อาการหลายๆ อาการที่ผู้ป่วยมาพบแพทย์แผนจีน มักจะถูกรวบรวมเป็นกลุ่มอาการ ประสานกับการตรวจวินิจฉัยด้วยการมอง (ดู), ถาม, ดม-ฟัง และจับชีพจร-สัมผัส สรุปเป็นการวินิจฉัยแยกแยะภาวะของโรค เพื่อวางแผนการรักษา อาการต่างๆ ของผู้ป่วยข้างต้น 2 รายอาจจะมีรายละเอียดบางอย่างเหมือนกัน บางอย่างต่างกันบ้าง แต่บางครั้งสรุปว่า มีพื้นฐานของการเสียสมดุลคล้ายกัน การวางแนวการรักษาก็จะเป็นแนวเดียวกัน แต่มีรายละเอียดที่ต้องปรับวิธีการ หรือการใช้ยาจำเพาะแตกต่างกัน เรียกว่า การปรับลดตำรับยา1. ร้อนแท้ – เย็นเทียม มีอาการแสดงออกทางคลินิกที่สำคัญอย่างไร?– อาการ ที่ผู้ป่วยมาหาบ่อยๆ ได้แก่อาการแขนขาเย็น ตัวร้อน (ส่วนอกและท้อง)– อาการร่วมอื่นๆ ได้แก่ ไข้สูง กลัวความเย็น ใบหน้าไม่ค่อยมีชีวิตชีวา (บางรายหมดสติ) สีดำคล้ำในผู้ป่วยที่ไม่มีไข้สูง มักมีกลิ่นเหม็น ปากเหม็น กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก ท้องผูก อุจจาระแห้งเป็นก้อน …

หยางแท้ – ยินเทียม ร้อนแท้ – เย็นเทียม Read More »

เหงื่อบอกโรค

เรื่องโดย : ศาสตราจารย์คลินิก แพทย์จีน นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล “คุณหมอครับ ทำไมผมเหงื่อออกมากจังเลย บางครั้งอยู่ในห้องปรับอากาศเหงื่อก็ยังออกเลย ผมเป็นโรคอะไรครับ”“คุณหมอคะ ทำไมลูกดิฉันนอนหลับกลางคืน เหงื่อออกเต็มตัวเลย”“คุณหมอคะ ทำไมดิฉันเหงื่อออกง่ายจัง ทำอะไรนิดหน่อยเหงื่อก็จะออก ดิฉันรู้สึกเหนื่อยง่ายจังเลย” แพทย์แผนจีนถือเอาเหงื่อเป็นประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งในการถามเกี่ยวกับภาวะสมดุลของร่างกาย ความผิดปกติของเหงื่อเป็นภาพสะท้อนองค์รวมของร่างกายอย่างหนึ่ง ดังนั้น การตรวจวินิจฉัยและสืบค้นเพื่อวางแผนการรักษา (ซึ่งได้แก่ การมอง การฟัง การดม การถาม การสัมผัสจับชีพจร) จำเป็นต้องเข้าใจภาวะเหงื่อของผู้ป่วย เหงื่อในทรรศนะแพทย์แผนปัจจุบันเมื่อมีอากาศรอบตัวมีอุณหภูมิสูงมากขึ้นระดับ 32 องศาเซลเซียสขึ้นไป การระบายความร้อนของร่างกายเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกายให้คงที่โดยวิธีการนำความร้อน การพาความร้อน หรือการแพร่รังสีจะไม่เพียงพอ จำเป็นต้องใช้การระบายความร้อนออกทางเหงื่อ ให้เหงื่อนำความร้อนออกจากร่างกายสู่ภายนอก ต่อมเหงื่อมีอยู่ทั่วไปตามผิวหนังของคน ส่วนมากอยู่ในชั้นหนังแท้ ลึกจากผิวหนังไม่มากนัก อาจมีบางตำแหน่งที่อยู่ลึกหน่อยและตอมขนาดใหญ่ ทำให้เหงื่อออกมากกว่าตำแหน่งอื่นและเป็นที่หมักหมมของเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย เช่น ต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้ ต่อมเหงื่อควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ ดังนั้น เวลาอารมณ์แปรปรวน ซึ่งจะกระทบประสาทอัตโนมัติ จะทำให้มีเหงื่อออกตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือสภาพอากาศที่และมีไอน้ำมาก เหงื่อจะระบายออกยาก ทำให้รู้สึกอึดอัด ลมช่วยทำให้เหงื่อระบายออกได้ดี ต่อมเหงื่อทั้งร่างกายในผู้ใหญ่มีประมาณ 2.5 ล้านต่อม ถ้าอากาศร้อนมากๆ สามารถทำให้เสียเหงื่อได้มากถึง 4 ลิตรต่อชั่วโมง …

เหงื่อบอกโรค Read More »

ริดสีดวงทวาร กับเส้นลมปราณ

ริดสีดวงทวารก็เหมือนเส้นเลือดขอด แต่เป็นเส้นเลือดขอดที่บริเวณทวารหนัก ถ้าบริเวณปากทวารคลำได้เป็นก้อนนุ่มใต้ผิวหนัง เรียกว่า ริดสีดวงทวารภายนอก ถ้าเป็นริดสีดวงทวารที่อยู่ลึกเข้าไป มักมีก้อนยื่นผ่านหูรูดทวารหนักออกมาตอนถ่ายอุจจาระ ถ้าเป็นน้อยก้อนจะหดกลับไปได้เอง ถ้าเป็นมากต้องใช้มือ ดันจึงจะกลับเข้าไป ถ้าเป็นมากกว่านั้นดันก็ไม่กลับจะทำให้รำคาญ มีการเสียดสีจนกลายเป็นแผลอักเสบติดเชื้อง่าย ริดสีดวงประเภทหลังนี้ เรียกว่าริดสีดวงทวารภายใน บางคนแบ่งง่ายๆ เป็น 3 แบบ คือ1. ริดสีดวงทวารภายนอก มีอาการสำคัญคือ เหมือนมีก้อนเกะกะ รำคาญ บริเวณทวารหนัก2. ริดสีดวงทวารภายใน มีอาการสำคัญคือ ถ่ายอุจจาระมีเลือดแดง3. ริดสีดวงทวารชนิดมีหัวหรือ ติ่งหัวยื่นออกมา ร่วมกับมีอาการติดเชื้อ มีการอักเสบเจ็บปวดที่ทวารหนัก สาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดริดสีดวงทวารในทรรศนะแพทย์แผน ปัจจุบันไม่แน่ชัดแต่มักเกิดร่วมกับปัจจัยหลายอย่างที่เป็นผลให้เกิดภาวะกดดันต่อเส้นเลือดบริเวณทวารหนักนานๆ เช่น ภาวะท้องผูกเรื้อรัง ไอเรื้อรัง การตั้งครรภ์ โรคตับแข็ง ก้อนเนื้อในท้อง ต่อมลูกหมากโต มะเร็งของลำไส้ ฯลฯ แนวทางการรักษาโดยทั่วไปถ้าไม่มีสาเหตุที่ร้ายแรงก็มุ่งเน้นไปที่การป้องกันอาการท้องผูก โดยกินผักและผลไม้มากๆ ดื่มน้ำมากๆ หรือ อาจต้องกินยาระบายเป็นครั้งคราว ถ้ามีอาการปวดอาจใช้ยาเหน็บริดสีดวง เพื่อป้องกันการอักเสบ การปวด หรือใช้วิธีแช่น้ำอุ่นผสมด่างทับทิม ส่วนรายที่เป็นมากอาจต้องใช้การฉีดหัวริดสีดวง ผูกหัวริดสีดวง หรือผ่าตัด ตามความเหมาะสม แล้วริดสีดวงทวารไปเกี่ยวอะไร กับเส้นลมปราณผู้ป่วยมาด้วยปัญหาว่าปวดหลังปวดเอว ท้องผูก ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ บริเวณขาด้านหลังและปวดน่อง เป็น …

ริดสีดวงทวาร กับเส้นลมปราณ Read More »

ขอบตาดำคล้ำ (อาจ)ไม่ใช่เรื่องเล็ก..แต่เป็นเรื่องโรค

คนทั่วไปมักจะมองเห็นว่าขอบตาดำคล้ำเป็นเรื่องความสวยความงาม ไม่เกี่ยวข้องกับภาวะของโรค หรือภาวะสมดุลของร่างกาย แต่ในทัศนะการแพทย์แผนจีน มองภาวะขอบตาดำอย่างเป็นปัญหาองค์รวม ไม่แยกส่วน กล่าวคือ ไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะเรื่องของเม็ดสีหรือภาวการณ์ไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดฝอยบริเวณเบ้าตาไม่คล่องตัว มีการอุดกั้นเท่านั้น แต่มันอาจจะเป็นสิ่งที่สะท้อนภาวะของร่างกายทั้งระบบที่มีปัญหาบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ ขอบตาดำคล้ำเกิดจากอะไรนอกจากสาเหตุที่เกิดจากการกระทบกระแทก ทำให้เกิดการฉีกขาดหรือทำลายหลอดเลือดฝอย มีการไหลของเลือดออกนอกหลอดเลือด ทำให้มีการคั่งค้างของเลือดบริเวณรอบขอบตา ซึ่งมักเกิดทันทีทันใดภายหลังเกิดอุบัติเหตุแล้วการเกิดอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปของสีดำคล้ำบริเวณขอบตาก็เช่นเดียวกัน เป็นการสะท้อนถึงการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดฝอยของตา มีการคั่งค้าง อุดกั้น ไหลเวียนไม่สะดวก เมื่อเวลาผ่านไปการไหลเวียนยิ่งน้อยลง อาการดำคล้ำก็จะสังเกตได้มากขึ้น การตรวจพบจะสังเกตได้ง่ายหรือยากขึ้นกับปัจจัยหลายประการ เช่น1. คนสูงอายุจะสังเกตได้ง่ายกว่าคนอายุน้อยหรือวันรุ่น เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น ไขมันใต้ผิวหนังมีการสะสมตัวน้อย หนังตาจะหย่อน ขณะเดียวกัน การทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และการไหลเวียนเลือดจะลดลง ทำให้สามารถสังเกตความผิดปกติจากการอุดกั้นหรือภาวะไหลเวียนของเลือดบริเวณเบ้าตาได้ง่ายขึ้น 2. คนที่มีเม็ดสีบริเวณเบ้าตา ใบหน้า มากกว่าปกติ ทำให้สังเกตเห็นความคล้ำของสีมากผิดปกติ 3. คนที่ร่างกาย ใบหน้า ซูบผอม มีไขมันใต้ผิวหนังน้อย จะสังเกตได้ง่ายกว่าคนอ้วน4. คนที่ผิวกายสีขาว ทำให้เห็นความดำคล้ำได้ชัดกว่า คนที่สีผิวเหลือง น้ำตาล หรือดำ ขอบตาดำคล้ำกับความสมดุลของร่างกายภาวะขอบตาดำ อาจเป็นภาวะของสรีรภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ตอบสนองของร่างกายขณะที่ยังไม่เป็นโรค หรือเป็นพยาธิสภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีราภาพนานๆเข้าและไม่ได้รับการเยียวยา แพทย์แผนจีนพูดถึงความสัมพันธ์ของอวัยวะภายในกับดวงตาไว้ว่า“ตับมีทวารเปิดที่ตา” และ …

ขอบตาดำคล้ำ (อาจ)ไม่ใช่เรื่องเล็ก..แต่เป็นเรื่องโรค Read More »

อาหารและสมุนไพรกระตุ้นน้ำนมหลังคลอด ตามศาสตร์แพทย์จีน

องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ (UNICEF) เสนอแนะให้ทารกแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูด้วยนมแม่เป็นหลักในระยะ 6 เดือนแรก ด้วยเหตุผลที่สำคัญทั้งต่อสุขภาพ การพัฒนาการร่างกาย ระบบประสาท ทางจิตใจของเด็ก และความผูกพันทางสายเลือดของอารมณ์ความรู้สึกระหว่างแม่กับลูก หลังคลอด นมที่สร้างช่วงแรกจะเป็นน้ำนมเหลือง (Colostrums) ซึ่งจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นน้ำนมขาวในที่สุด สารอาหารสำคัญที่มีอยู่ในนมแม่ ได้แก่ ไขมัน (ไขมันจำเป็น เช่น ไลโนเลอิกและไลโนเลนิก) ซึ่งจะทำหน้าที่ในการสร้างสารไปห่อหุ้มเส้นใยประสาทในสมองเด็ก ทำให้การส่งกระแสประสาทในสมองเด็กทำได้ดีและรวดเร็วขึ้น มีพัฒนาการในการตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบๆ ตัว  นอกจากนั้นอิมมูโนโกลบูลินในนมแม่จะช่วยลดโอกาสการเป็นภูมิแพ้ในเด็ก รวมทั้งจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อและไม่สบายของเด็ก ขณะที่ลูกดูดนมจากอกแม่ จะทำให้ระดับฮอร์โมน ออกซีโทซิน (Oxytocin) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะช่วยให้แม่มีจิตใจอ่อนโยน ซึ่งเด็กจะรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน อันจะส่งผลให้เด็กมีอารมณ์ดีและเพิ่มสัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้มีความผูกพันทางสายเลือด ขณะที่ลูกดูดนมแม่ประสาทสัมผัสทุกส่วนของเด็กจะถูกกระตุ้นให้เกิดการทำงาน ทั้งการมองเห็น โดยการสบตากับแม่ขณะดูดนม การรับกลิ่น เนื่องจากการอยู่ใกล้ชิดกับการฝึกประสาทหูเนื่องจากลูกจะได้ยินเสียงแม่ที่พูดคุยกับตนเอง การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีข้อดีอีกอย่างก็คือลดโอกาสการเกิดมะเร็งเต้านมของแม่ เหตุผลหนึ่งเพราะด้วยระดับฮอร์โมน ออกซีโทซิน (Oxytocin) เพิ่มมากขึ้นจะยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองทำให้ไม่มีการกระตุ้นการเติบโตของไข่ เต้านมจะได้พักการถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องจากออร์โมนเอสโตรเจน แต่ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นคือ จะมีปริมาณและคุณภาพของน้ำนมที่ดีพอได้อย่างไร การเตรียมการแก้ไขปัญหาน้ำนมให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอจึงเป็นหัวใจที่ต้องได้รับการพิจารณาเร่งด่วน ภาวะน้ำนมน้อย (缺乳)ในมุมมองแพทย์แผนจีน น้ำนมมีที่มาจากเลือด …

อาหารและสมุนไพรกระตุ้นน้ำนมหลังคลอด ตามศาสตร์แพทย์จีน Read More »

7 วิธี ปรับสมดุล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะที่มีมาแต่กำเนิดให้เข้มแข็ง เพราะเป็นด้านแรกและด่านสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค ความเชื่อของแพทย์จีนที่ว่า “หมอที่เก่งที่สุดคือตัวเรา” การจะทำให้กลไกร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือการมีสุขภาพที่ดีต้องสร้างด้วยตัวเองเท่านั้น โดยการเข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติและดำเนินวิถีชีวิตให้สอดคล้องและเป็นจังหวะกับธรรมชาติเท่านั้น สุขภาพที่ดีบ่งบอกถึงภูมิคุ้มกันโรคที่ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ จิตใจร่าเริง มีความสุข อายุยืนยาว 1.การปรับสมดุลด้วยอาหารและยา “ ยามปกติปรับสมดุลด้วยอาหาร  ยามเจ็บป่วยปรับสมดุลด้วยยา” ดังนั้นในการป้องกันโรคจึงเน้นที่อาหาร หรือสมุนไพรที่เป็นอาหารมากกว่าใช้ยา เพราะยาเป็นการปรับสภาพไปด้านใดด้านหนึ่งที่รุนแรง ถ้าร่างกายไม่เสียสมดุลมากจึงเน้นการใช้อาหารสมุนไพรเป็นหลัก คุณลักษณะสมุนไพร มีฤทธิ์ ร้อน-อุ่น หรือเย็น มีรสชาติบอกสรรพคุณ นำยาเข้าสู่อวัยวะใด มีกลไกพลังกำหนดทิศทางของยา ขึ้นบน ลงล่าง เข้าใน กระจายออกภายนอก การใช้สมุนไพรจึงต้องคำนึงให้สอดคล้องกับลักษณะโรคหรือความเสียสมดุล แพทย์จีนไม่ได้ใช้ยาด้วยการเริ่มต้นจากการดูสารออกฤทธิ์ การแพทย์แผนจีนใช้หลักคิดทฤษฎีแพทย์จีนในการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรค ส่วนมากเป็นเชิงตำรับ จุดมุ่งหมายเพื่อปรับสมดุลร่างกายโดยรวม ปัจจุบันสมุนไพรต่างๆได้ถูกนำมาวิเคราะห์แยกแยะสารออกฤทธิ์สำคัญ ทำให้รู้ถึงกลไกการออกฤทธิ์ของยาสมุนไพรจนเกิดความโน้มเอียงไปที่การเน้นสรรพคุณของสารออกฤทธิ์ไปรักษาอาการของโรคเป็นหลัก กลายเป็นการใช้สมุนไพรรักษาโรคมากกว่ารักษาคน มีผลข้างเคียงจากการใช้ยาสมุนไพร เกิดปัญหาและผลข้างเคียงจากการใช้สมุนไพร  ตัวอย่างเช่น สมุนไพรฟ้าทะลายโจร (穿心莲) มีสารสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ สารกลุ่ม Lactone คือ –  สารแอนโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) –  สารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neo-andrographolide) – …

7 วิธี ปรับสมดุล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน Read More »