ความผิดปกติของร่างกายในมุมมองของแพทย์แผนจีน

เปิด 5 เทคนิค การกินอาหารเพื่อสุขภาพ

เหตุผลที่ระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารไม่มีระเบียบ ไร้กฎเกณฑ์ เกิดจากการกินอาหารจุบจิบ ตามอารมณ์ กินตามใจปาก เพราะฉะนั้น เพื่อให้ระบบต่างๆในร่างกายกลับมาสู่สมดุลอีกครั้ง เราไปดู5เทคนิคการกินอาหารเพื่อสุขภาพกัน เทคนิคการกินอาหารเพื่อสุขภาพ 1. การกินข้าวต้มหรือโจ๊กเหมาะเป็นอาหารมื้อเช้าสำหรับคนที่มีระบบการย่อยและดูดซึมไม่ค่อยดีช่วงตื่นนอนตอนเช้า ระบบการย่อยอาหารของเรา เพิ่งจะเริ่มทำงาน (หลังจากพักมาตลอดทั้งคืน) ให้ดื่มน้ำ หลังตื่นนอนทันที 1-2 แก้ว เพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหาร พลังลมปราณที่ไหลผ่านเส้นลมปราณ กระเพาะอาหาร ม้าม สูงสุดในช่วง 07.00-09.00 น. และ 09.00 – 11.00 น. ตามลำดับ เราจึงควรกินอาหารเช้าที่มีลักษณะ ย่อยง่ายในช่วงเวลาดังกล่าว 2. กินเมื่อยังไม่รู้สึกหิว และหยุดเมื่อเริ่มอิ่มไม่ควรปล่อยให้หิวจัดเกินไป เพราะจะทำลายพลังของกระเพาะอาหาร และไม่ควรกินอาหารอิ่มเกินไป เพราะจะทำลายสมรรถภาพการย่อยและการดูดซึม ทำให้อาหารตกค้างเป็นของเสีย ควรหยุดกินอาหารเมื่อมีความอิ่ม ร้อยละ 70-80 3. อาหารมื้อเช้าต้องดี มื้อเที่ยงต้องอิ่ม มื้อเย็นต้องน้อยปริมาณอาหารมื้อเช้า ร้อยละ 30-40 มื้อเที่ยง ร้อยละ 40-50 มื้อเย็น ร้อยละ 20-30 4. ควรกินอาหารตามมื้อหลัก ตามเวลาอย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า …

เปิด 5 เทคนิค การกินอาหารเพื่อสุขภาพ Read More »

ทำไมต้องมี? อาหารเสริมสุขภาพ

ร่างกายคนเราต้องการสารอาหารที่ได้สมดุล เพื่อสุขภาพที่ดี เพราะภาวะปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะคนเมือง) ได้รับอาหารประเภทไขมัน แป้ง เกลือ เนื้อสัตว์ทำให้ขาดเส้นใย ผัก ผลไม้ วิตามิน แร่ธาตุ ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคอ้วน เบาหวาน โรคความเสื่อม นอกจากนี้อุปนิสัยและความเคยชินหลายอย่างก็มีผลต่อการขาดสารอาหาร คนที่ดื่มเหล้า เหล้า 1 กรัมทำให้ร่างกายเสียพลังงาน 7 แคลอรี โดยไม่ได้ให้คุณค่าของสารอาหารเลย  เหล้าทำให้ร่างกายสูญเสียวิตามินบี ซี สังกะสี แมกนีเซียม โพแทสเซียม เหล้าทำลายตับ ทำให้พิษสะสมในร่างกายมากขึ้น ทำให้เป็นโรคตับแข็งหรือโรคมะเร็งง่ายขึ้น คนสูบบุหรี่บุหรี่มีผลระคายเคืองต่อปอด เพิ่มความเสี่ยงของ โรคมะเร็งโดยตรงและทางอ้อม การสูบบุหรี่ทำให้ความต้องการสารอาหารพวกวิตามินบี12 กรดโฟลิก วิตามินซี และอี ซึ่งเป็นสารต้าน อนุมูลอิสระมากขึ้น เพราะต้องไปต่อสู้กับความเสื่อมของ เนื้อเยื่อ และการเพิ่มขึ้นของอนุมูลอิสระที่ทำลายเนื้อเยื่อ ต่างๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ยังพบว่าบีตาแคโรทีนในคนสูบบุหรี่จะต่ำกว่าคนทั่วไปอีกด้วย คนดื่มกาแฟ  ชาการดื่มกาแฟและชา โดยเฉพาะก่อนหรือหลังอาหาร ๑ ชั่วโมงจะมีผลลดการดูดซึมธาตุเหล็กถึงร้อยละ 80 การดื่มกาแฟปริมาณมากจะทำให้แคลเซียมถูกขับออกจากร่างกายมากขึ้น  ทำให้กระดูกพรุน การเตรียมอาหารการล้าง การปรุง การเก็บเกี่ยว …

ทำไมต้องมี? อาหารเสริมสุขภาพ Read More »

ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพื่อการดูแลหัวใจและหลอดเลือด

“ผลิตภัณฑ์สมุนไพรจีน CO-RED (โค-เรด)เกิดจากการบูรณาการประสบการณ์ทางคลินิก การค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์และเภสัชกรรมแผนปัจจุบันแผนจีน ผสานกับเทคโนโลยีตะวันตก ภายใต้การควบคุมการผลิตและระบบการจัดการบริหารคุณภาพระดับมาตรฐานสากล CO-RED (โค-เรด) จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้รักและใส่ใจการดูแลสุขภาพ” สรรพคุณ 3 in 1 เพื่อควบคุมไขมันในเลือดรวมทั้งการดูแลหัวใจและหลอดเลือด ควบคุมไขมันในเลือด โคเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันเลว(LDL) เสริมพลังการทำงานของหัวใจ ด้วย Coenzyme Q 10 กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ป้องกันการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด ด้วยสารสกัดอาหารสมุนไพรที่มีการใช้กันมายาวนานและมีความปลอดภัยสูง  ทำไมต้อง CO-RED อะไรคือความแตกต่าง? สรรพคุณ 3 in 1 เพื่อควบคุมไขมันในเลือดรวมทั้งการดูแลหัวใจและหลอดเลือด ควบคุมไขมันในเลือด โคเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันเลว(LDL) เสริมพลังการทำงานของหัวใจ ด้วย Coenzyme Q 10 กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ป้องกันการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด ด้วยสารสกัดอาหารสมุนไพรที่มีการใช้กันมายาวนานและมีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงต่อตับและไต หรือการอักเสบของกล้ามเนื้อ สามารถใช้ในการควบคุมไขมันในเลือด แทนยากลุ่มStatin ในผู้ป่วยที่มีผลข้างเคียงจากยา ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ รวมถึงโรคสมองเสื่อม มีผลการวิจัยทางการแพทย์และประสบการณ์ในทางคลินิกยืนยันได้ผลจริง ใช้สารสกัดคุณภาพ ทันสมัย ปลอดภัย มาตรฐานยุโรปและตามข้อกำหนดของคณะกรรมการอาหารและยาของไทย ควบคุมการผลิตโดยโรงงานมาตรฐานของไทยที่ผลิตสินค้าให้ต่างประเทศ ผ่านการรับรองให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจาก อย. ของประเทศไทย มีส่วนผสมอาหารสมุนไพรจีนสกัดที่ป้องกันการเกาะตัวของเลือด กระตุ้นการไหลเวียนเลือดและช่วยระบบย่อยอาหาร เลือก Red yeast rice คุณภาพในกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานส่งออกยุโรป มีส่วนผสม Coenzyme Q 10 ในผลิตภัณฑ์ ควบคุมตรวจสอบระดับปริมาณ Citrinin และเชื้อราปนเปื้อนตามมาตรฐานสากล ข้อควรระวังในการบริโภค CO-RED 1. ผู้ป่วยโรคตับ2. ผู้ป่วยโรคไต3. สตรีตั้งครรภ์ สตรีระหว่างให้นมบุตร4. ห้ามรับประทานร่วมกับยาลดไขมันกลุ่ม Statin ยาต้านเชื้อรา ยากดภูมิคุ้มกัน ยารักษาโรคเอดส์5. คนที่แพ้เชื้อรา ใครบ้างที่เหมาะกับผลิตภัณฑ์ CO-RED   ผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูง รับประทานยาเคมีแล้วมีผลข้างเคียง   ผู้ป่วยที่ต้องการลดไขมันด้วยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ   คนที่ต้องการดูแลหลอดเลือดให้สะอาด แข็งแรง ยืดหยุ่น   คนที่ต้องการป้องกันภาวะสมองเสื่อม โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง มีอะไรใน CO-RED Red Yeast …

ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพื่อการดูแลหัวใจและหลอดเลือด Read More »

ิวิธีบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร

ระบบการทำงานที่สมดุลของอวัยวะภายใน ถือเป็นปัจจัยหลักของการมีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งทางการแพทย์แผนจีนได้ให้ความสำคัญต่อม้ามและกระเพาะอาหารเป็นอย่างมาก โดยเชื่อว่า หลังการกำเนิดของมนุษย์ ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารมาหล่อเลี้ยงเพื่อให้เจริญเติบโตและดำรงชีวิต กระเพาะอาหารจะทำหน้าที่รับและย่อยอาหารจนได้สารจำเป็นในการหล่อเลี้ยงร่างกาย และม้ามจะทำหน้าที่ลำเลียงสารเหล่านี้ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ม้ามจึงถูกจัดเป็นแหล่งสร้างสารจำเป็นและต้นกำเนิดของแรงขับเคลื่อนชีวิต ดังโบราณกล่าว “ม้ามและกระเพาะอาหารเป็นรากฐานของชีวิตหลังกำเนิด” ด้วยเหตุนี้การดูแลม้ามและกระเพาะอาหารจึงจัดเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่สำคัญวิธีหนึ่ง ซึ่งสามารถกระทำได้ด้วยวิธีการ ดังต่อไปนี้ 1. การบริโภคอย่างถูกสุขลักษณะ กล่าวคือการรับประทานอาหารเป็นเวลาและในปริมาณที่เหมาะสม โดยปริมาณที่รับประทานควรอยู่ในระดับ 8 ใน 10 ส่วนจากปริมาณที่รู้สึกอิ่ม (อิ่ม 8 ใน10 ส่วน) การทำเช่นนี้จะกระตุ้นให้มีความหิวหรืออยากอาหารในมื้อต่อไป ซึ่งส่งผลต่อการกระตุ้นระบบการย่อยและดูดซึม สำหรับผู้สูงอายุควรทานอาหารในปริมาณที่น้อย แบ่งทานอาหารเป็นหลายมื้อ เพื่อลดภาระการทำงานของกระเพาะอาหารในการย่อย และทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ อีกทั้งไม่ควรรับประทานอาหารรสจัด ควรรับประทานผักและผลไม้เพื่อให้ได้รับกากใยอาหารที่เพียงพอ โดยกากใยเหล่านี้จะส่งผลให้การขับถ่ายดีขึ้น ป้องกันการท้องผูก สำหรับผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหวาน ของมัน ของทอด รสเค็ม ควรทานอาหารที่ย่อยง่าย ปรุงสุก และร้อน (อุ่น) เป็นต้น สูตรอาหารที่แนะนำในการบำรุงกระเพาะอาหาร คือข้าวฟ่าง 100 กรัม, ฟักทอง 100 กรัม, พุทราจีน 10 …

ิวิธีบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร Read More »

ภาวะลองโควิด ในมุมมองแพทย์แผนจีน

โรคโควิด-19 ในทางแพทย์แผนจีนตามทฤษฎี《温疫论》เรียกว่า อี้ปิ้ง “疫病” สิ่งก่อโรคคือ พิษร้อน และพิษชื้น เป็นหลัก (热毒和湿毒为主) พยาธิสภาพเกี่ยวข้องกับ ความชื้น ความร้อน พิษ เลือดคั่ง ความแห้ง เสมหะ ภาวะพร่อง เมื่อสิ่งก่อโรคพิษร้อนชื้น(ไวรัสโควิด-19) โจมตีจากภายนอกระดับเว่ย 卫 (ผิวภายนอก) เข้าสู่ระดับชี่ 气 (มีไข้ ปวดเมื่อยตัว) และสู่ระดับลึกอิ๋งเซวี่ย 营血 (เข้าสู่ปอดและอวัยวะภายใน) ที่ทำให้มีอาการปอดบวม(ปอดร้อนชื้น) เกิดลิ่มเลือดอุดตัน(เลือดคั่ง) เกิดอาการช็อค หมดสติ (พิษร้อนเข้าเยื่อหุ้มหัวใจ-หัวใจ) ผู้ป่วยระยะรุนแรงและภาวะวิกฤติ อาการของ Long COVID มาจากพื้นฐานภาวะร่างกายและความรุนแรงของโรค เมื่อได้รับเชื้อโควิด-19 บางคนอาจไม่มีอาการหรืออาการเล็กน้อย บางคนอาจมีอาการหนักปานกลาง บางคนอาจมีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต แพทย์แผนจีนมองว่ามาจากพื้นฐานภาวะร่างกายและเจิ้งชี่ (正气 พลังพื้นฐานของร่างกาย)ในการต่อสู้กับเสียชี่ (邪气 สิ่งก่อโรค)  ทำให้ผู้ป่วยมีหลายอาการและหลายอาการแสดงในลักษณะที่แตกต่างกัน ทำให้การรักษาผู้ป่วยมีการใช้แนวทาง หลักการ วิธีการ และตำรับยาที่ใช้รักษาแตกต่างกัน 1.  ลักษณะเบาหรือทั่วไป (轻型及普通型) …

ภาวะลองโควิด ในมุมมองแพทย์แผนจีน Read More »

รู้จัก ภาวะลองโควิด

หลายคนที่ติดเชื้อโควิด-19 และหายแล้ว แต่กลับพบว่า ร่างกายและจิตใจของตนเองไม่เหมือนเดิม บางคนอาจใช้ระยะเวลาหนึ่งฟื้นกลับมาได้ บางคนก็ฟื้นกลับมาไม่หมด แสดงให้เห็นว่า หลังจากหายจากโควิด-19 ผู้ป่วยยังต้องมีปัญหาที่ต้องติดตามแก้ไขและฟื้นฟูทางร่างกายและจิตใจที่บอบช้ำจากการเจ็บป่วยให้ฟื้นกลับมาเร็วที่สุด Long COVID คืออะไร     ลองโควิด (Long COVID) หรือ Post Covid-19 Syndrome คือ ภาวะของคนที่หายจากโควิด-19 แล้วแต่ยังต้องเผชิญกับอาการที่หลงเหลืออยู่ แม้ว่าเชื้อโควิดหายจากร่างกายไปแล้ว แต่บางอาการกลับไม่หายไปด้วย หรืออาจจะเกิดมีอาการใหม่ ที่ไม่เคยเป็นระหว่างติดเชื้อ อาการของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่จะดีขึ้นภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ และมักจะหายขาดภายใน 12 สัปดาห์ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา เรียกอาการที่ยังพบหลังจากติดเชื้อไปแล้ว 4 สัปดาห์ว่าภาวะ ‘โพสต์โควิด’ (Post-COVID Conditions) หรือ Long COVID กล่าวโดยรวม ลองโควิด (Long COVID) เป็นภาวะหรืออาการที่เกิดขึ้นตามมากับผู้ป่วยโควิด-19 หลังจากได้รับเชื้อนาน 4 สัปดาห์ไปจนถึง 12 สัปดาห์ขึ้นไป   อาการลองโควิดจะมีอาการแตกต่างกันไปในแต่ละคน เป็นอาการที่ไม่มีลักษณะตายตัว สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ตั้งแต่ระบบหายใจ ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร หัวใจและหลอดเลือด ทำให้ผู้ที่หายป่วยบางรายยังไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเดิม อาการลองโควิดLong COVID มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 30-50% จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 …

รู้จัก ภาวะลองโควิด Read More »

ความสัมพันธ์ระหว่างม้ามกับตับ และม้ามกับไต

ความสัมพันธ์ระหว่างม้ามกับตับ ตับมีหน้าที่เก็บเลือด(肝藏血) กับ หน้าที่ในการขับระบาย (肝主疏泄)เป็นหน้าที่ของตับที่ตรงข้ามขัดแย้งกันและควบคุมซึ่งกันและกัน ม้ามมีหน้าที่ควบคุมการขับเคลื่อนลำเลียง(脾主运化) ควบคุมการสร้างเลือดและให้เลือดไหลเวียนอยู่ภายในหลอดเลือด(脾生血统血) อาหารที่ย่อยแล้ว ทางสรีระแผนปัจจุบันจะดูดซึมลำเลียงจากผนังลำไส้เล็กเข้าสู่หลอดเลือดดำ ไปที่ตับ ตับทำหน้าที่สะสมสารอาหารต่าง ๆ เอาไว้ใช้เมื่อร่างกายต้องการ ตับเป็นโรงงานผลิตพลังงานให้ร่างกาย โดยสลายสารอาหารให้ร่างกาย การย่อยดูดซึมลำเลียงสารอาหารที่ดี(อวัยวะม้ามทำงานดี) จะทำให้ตับสะสมวัตถุดิบหรือพลังงานสำรองไว้ใช้ได้มากพอ มีพลังขับเคลื่อนการทำงานของม้ามกระเพาะอาหาร รวมทั้งสามารถสร้างน้ำดีเพื่อใช้ช่วยการย่อยอาหารไขมัน ถ้าการระบายและการเก็บเลือดของตับ(การสะสมสารอาหารพลังงานสำรอง)ไม่ดี จะส่งผลให้การทำงานของม้ามไม่ดีด้วย การเก็บกักเลือดที่มากพอจะทำให้เกิดการระบายเลือดเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า(รวมถึงการขับน้ำดี)ได้ดี การย่อยดูดซึมก็ดีด้วย การเก็บกักเลือดน้อยทำให้การขับระบายเลือดเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า(รวมถึงการขับน้ำดี)ก็น้อย การย่อยดูดซึมก็ไม่ดี การระบายพลังตับที่น้อย(ตับอุดกั้น)ทำให้เลือดไม่ไหลเวียน การนำเลือดใหม่เข้าสู่ตับก็ลดน้อยลง การระบายเลือดเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากเกินจะทำให้การเก็บกักเลือดน้อยลงเช่นกัน ม้ามสร้างเลือด ตับเก็บเลือด ตับช่วยการย่อยดูดซึมลำเลียงของม้าม การทำงานของตับผิดปกติ จะมีอาการของทางเดินอาหารโดยเฉพาะกระเพาะอาหารและม้าม ความสัมพันธ์ระหว่าง ม้ามกับไต ม้าม  เปรียบเสมือนมารดาของอวัยวะภายในทั้ง 5 (脾为五脏之母) เปรียบเสมือนเป็นทุนที่มาหลังกำเนิด (后天之本)ในขณะที่ไต เปรียบเสมือนรากฐานของร่างกาย  เปรียบเสมือนเป็นทุนที่มาแต่กำเนิด(先天之本) คนโบราณใช้จุดฝังเข็ม  4  จุด   ในการเพิ่มพลังม้ามและเสริมพลังไต   คือ จุด จงหว่าน(中脘穴)  จุดกวนหยวน(关元穴)จุดมิ่งเหมิน(命门穴)จุดจู๋ซานหลี่ (足三里) จะเห็นว่าจุดเหล่านี้อยู่บริเวณส่วนท้อง , ส่วนเท้า …

ความสัมพันธ์ระหว่างม้ามกับตับ และม้ามกับไต Read More »

ระบบย่อยและดูดซึมอาหาร ในมุมแพทย์แผนจีน

สำหรับระบบย่อยและดูดซึมอาหาร แพทย์แผนจีนให้ความสำคัญของการทำหน้าที่ร่วมกันของอวัยวะม้ามและกระเพาะอาหาร โดยกระเพาะอาหารทำหน้าที่รับและย่อยอาหารและส่งไปลำไส้เล็กเพื่อย่อยจนได้สารจำเป็น และแยกแยะอาหารที่ถูกย่อยแล้วในสิ่งที่ดี (ใช้ได้) กับสิ่งที่ข้น (ใช้ไม่ได้) ส่วนดีจะถูกส่งไปที่ม้าม ม้ามทำหน้าที่ลำเลียงสารจำเป็นนี้ไปใช้ทั่วร่างกาย ส่วนลำไส้ใหญ่ทำหน้าขับอุจจาระและควบคุมการดูดซึมกลับของน้ำ กระเพาะอาหาร เป็นอวัยวะที่ไม่ชอบความแห้งชอบความชื้น(恶燥喜润) ไม่ชอบร้อนชอบความเย็น(恶热喜凉) ไม่ชอบการสะสมแต่ชอบการระบายลงล่าง(恶积喜降) ตรงข้ามกับการทำหน้าที่ของม้าม หน้าที่สำคัญของกระเพาะอาหารมี 3 อย่างคือ รองรับอาหารและน้ำ (主受纳) เสมือนขุนนางที่ทำหน้าที่ดูแลเก็บกักอาหารเสบียงกัง (仓廪之官,主纳水谷) เป็นที่เก็บอาหารที่ผ่านการเคี้ยวในปาก และเดินทางผ่านหลอดอาหาร กระเพาะอาหารจึงเป็นเสมือนทะเลของน้ำและอาหารที่รับประทานเข้าไป 胃为“水谷之海”ถ้าลมปราณกระเพาะอาหารจะทำให้เก็บกักอาหารเพื่อทำการย่อยเบื้องต้นได้ดี มีความอยากอาหาร ทานอาหารได้มาก การย่อยอาหาร กระเพาะอาหารทำหน้าที่ย่อยอาหารในระดับต้นๆ (腐熟水谷) เพื่อให้มีขนาดเล็กลงแล้วส่งไปย่อยต่อที่ลำไส้เล็ก ควบคุมการไหลลงของพลังสู่ด้านล่างในการขับเคลื่อนอาหารและการขับถ่ายอุจจาระ เพื่อการย่อยที่ลำไส้เล็กและการขับถ่ายที่ลำไส้ใหญ่ เป็นการสร้างสมดุลของพลังแกนกลางของร่างกาย โดยทำงานคู่กับพลังของม้ามที่มีทิศทางขึ้นบนเพื่อส่งลำเลียงสารจำเป็นไปอวัยวะปอด ม้าม ม้ามถือเป็นต้นกำเนิดของแรงขับเคลื่อนชีวิต โบราณกล่าวว่า “ม้ามและกระเพาะอาหารเป็นรากฐานของชีวิตหลังกำเนิด” 故称脾胃为“后天之本” ทำหน้าที่ควบคุมเลือด พลังลมปราณ ม้ามเป็นธาตุดินมีความเชื่อมโยงกับกระเพาะอาหาร กล้ามเนื้อ ริมฝีปากและปาก ตำราแพทย์จีนโบราณได้บันทึกรูปร่างของม้าม มีลักษณะโค้งแบนเหมือนเคียว คล้ายกายวิภาคของตับอ่อนในแผนปัจจุบัน ม้ามในความหมายแพทย์แผนจีนมีหน้าที่ในการควบคุมเลือด สร้างน้ำย่อยในการย่อยอาหาร การดูดซึม ลำเลียงอาหาร อวัยวะม้ามจึงมีหมายถึงครอบคลุมถึงม้ามและตับอ่อน รวมถึงลำไส้เล็กด้วย …

ระบบย่อยและดูดซึมอาหาร ในมุมแพทย์แผนจีน Read More »

โรคอัมพาตใบหน้า

หากมองปัญหาของโรคอัมพาตใบหน้า เราสามารถเปรียบเทียบระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนจีนได้ ดังนี้ 1. สาเหตุการเกิดโรคอัมพาตใบหน้า ที่ส่งผลให้เส้นประสาทคู่ที่ 7 อักเสบหรือบวม แพทย์แผนปัจจุบัน ให้ความสนใจไปที่การติดเชื้อไวรัส และกล่าวถึงปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้เกิดจากภาวะการกระทบความเย็นและตากลม ความเครียดทางอารมณ์ คนที่มีความดันโลหิตสูง เบาหวานหรือบาดเจ็บบนใบหน้าในขณะที่ การเปี้ยนเจิ้งของแพทย์จีน เน้นไปที่ปัจจัยภายใน พื้นฐานร่างกาย บางคนเลือดพลังพร่อง บางคนยินพร่อง หยางแกร่ง (คล้ายกับความดันโลหิตสูง) บางคนเสมหะภายในมาก ระบบการย่อยไม่ดี หรือมีเสมหะสะสมภายในนานๆ (คล้ายกับภาวะไขมันในเลือดสูง) หรือคนที่บาดเจ็บบริเวณใบหน้า (ซึ่งทำให้เส้นลมปราณหยางหมิงถูกกระทบกระเทือนเป็นพื้นฐานอยู่ก่อน)นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับปัจจัยภายนอกที่มากระทบ แพทย์จีนโบราณ ไม่มีคำว่า ไวรัส รู้จักแค่การเปลี่ยนแปลงของอากาศที่มากระทบต่อร่างกายบริเวณใบหน้า จำแนกตามอาการอัมพาตว่ามีลักษณะหน้า ปวด หย่อน ร้อน ว่าเป็นปัจจัยชนิดไหนมากระทบ แล้วทำการใช้ยาขับปัจจัยก่อโรคเหล่านั้นออกไป 2. การรักษาแผนปัจจุบัน มุ่งไปที่รักษาเพื่อลดอาการบวมและการอักเสบของเส้นประสาทคู่ที่ 7 โดยตรง ระยะเริ่มแรกให้ยาเพร็ดนิโซโลนขนาดสูง และลดขนาดลง ยาต้านไวรัสพิจารณาเป็นรายๆ ไป และปล่อยให้ร่างกายหายเองแผนจีน แบ่งแยกลักษณะอัมพาตตามสภาพพื้นฐานสมดุลของร่างกาย และปัจจัยที่ก่อโรค รักษาพื้นฐานร่างกายควบคู่กับการขับปัจจัยก่อโรค เน้นสร้างสมดุลให้ร่างกายฟื้นตัวได้ด้วยตัวเองการฝังเข็ม ด้านหนึ่งเน้นเลือกจุดบนเส้นลมปราณหยางหมิงที่หล่อเลี้ยงบริเวณใบหน้า อีกด้านหนึ่งเน้นการขับลมจากภายนอกและปรับลมภายใน เช่น จุดเหอกู่ (合谷) จุดเฟิงฉือ (风池) หรือดึงพลังหยางลงล่าง เช่น …

โรคอัมพาตใบหน้า Read More »

โรคอัมพาตใบหน้า ในทัศนะแพทย์แผนจีน

สาเหตุของการเกิดโรค1. ส่วนใหญ่เกิดจากบริเวณใบหน้ากระทบกับลมและความเย็น (风寒) เป็นการกระทบของลมต่อเส้นลมปราณจิงลั่ว (风中经络) ทำให้พลังไม่สามารถไปเลี้ยงใบหน้าได้ มีอาการอ่อนแรงของร่างกายครึ่งซีก มีอาการปากเบี้ยว ตาปิดไม่สนิท แบบเฉียบพลัน2. เส้นลมปราณหยางหมิงของขาที่วิ่งผ่านบริเวณปาก มีภาวะพร่อง ขาดพลังหล่อเลี้ยง เมื่อโดนลมกระทบ เกิดการหดตัวไม่คล่อง ลมที่กระทบมีทั้งลมเย็น ลมร้อน ลมชื้น ลมเสมหะ รวมถึงภาวะเลือดอุดกั้น ภาวะพลังและเลือดติดขัด ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปาก ตา บิดเบี้ยวได้ทั้งสิ้นการวินิจฉัยแบบเปี้ยนเจิ้ง (辨症论治)1. ลมกระทบจากภายนอก ทำให้เกิดอัมพาตที่ใบหน้า (风邪外袭)ลมรวมกับปัจจัยก่อโรคอาจเป็นความเย็น ความร้อน ความชื้น เมื่อมากระทบบริเวณใบหน้า คือ เส้นพลังลมปราณของหยางหมิงที่ควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าส่วนใหญ่ ทำให้เลือดและพลังไหลเวียนไม่คล่อง กล้ามเนื้อที่ตาและปากอ่อนแรง ทำให้บิดเบี้ยวเพราะไม่มีกำลัง การรับความรู้สึกบนใบหน้าผิดปกติกระทบ ลมเย็น-กล้ามเนื้อใบหน้าปวดเกร็ง เพราะความเย็นทำให้หดตัวกระทบ ลมร้อน-กล้ามเนื้อใบหน้าหย่อน ผิวหนังร้อนแดงกระทบ ลมชื้น-กล้ามเนื้อใบหน้า หน้าบวม บางครั้งมีอาการปวดร่วมด้วย2. ลม ตับ เคลื่อนไหวภายใน (肝风内动)มีอาการอัมพาตใบหน้า ร่วมกับมีพื้นฐานร่างกายเป็นคนที่มีภาวะตับแกร่งหรือยินพร่อง-หยางแกร่ง มักมีอาการเวียนศีรษะ แขนขาชา ภาวะหยางที่มากเกินไปทะลวงผ่านเส้นลมปราณหยางหมิงบริเวณใบหน้า ทำให้ใบหน้าแดงก่ำ เวียนศีรษะมากขึ้น ผู้ป่วยมักมีลิ้นแดงออกม่วง ชีพจรเร็วและตึงมีกำลัง ฝ้าบนลิ้นเหลือง หรือมีฝ้าบนลิ้นน้อย ตัวลิ้นแห้ง3. ลมเสมหะอุดกั้นเส้นลมปราณ (风痰阻络)มีอาการอัมพาตบริเวณใบหน้า ร่วมกับพื้นฐานร่างกายที่บ่งบอกว่ามีเสมหะอุดกั้น กล่าวคือ …

โรคอัมพาตใบหน้า ในทัศนะแพทย์แผนจีน Read More »

ว่าด้วยเรื่อง “เลือดพร่อง” (2)

ผู้ป่วยบางคนมีภาวะยินพร่อง แต่เข้าใจผิดไปซื้อยาบำรุงเลือดพร่อง ทำให้อาการของโรคอาจรุนแรงขึ้นได้ยาจีนในท้องตลาดต้องแยกให้ชัดว่า เน้นไปที่บำรุงยินหรือบำรุงเลือดความจริงยาบำรุงเลือดมีบางส่วนของยาบำรุงยิน เลือดเป็นส่วนหนึ่งของยิน ยินพร่องกับเลือดพร่องมีอาการหลายอย่างคล้ายกัน เช่น ชีพจรเล็ก เวียนศีรษะ ตาลาย นอนไม่หลับ ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ ยินพร่อง จะมีอาการร้อนร่วมด้วย เช่น แก้มแดง ลิ้นแดง หงุดหงิด ปากแห้ง ชีพจรเร็ว เป็นต้น ขณะที่เลือดพร่องไม่มีอาการร้อน เช่น ใบ หน้า ริมฝีปาก เปลือกตา เล็บ ลิ้นจะมีสีขาวซีด อาการที่เรียกว่า “เลือดของหัวใจพร่อง” และ “เลือดตับพร่อง” เป็นอย่างไร?ทั้ง ๒ ภาวะ มีอาการของเลือดพร่องเหมือนกัน แต่เนื่องจากการขาดเลือดไปมีผลต่ออวัยวะของหัวใจและตับอย่างเด่นชัด ทำให้มีลักษณะเฉพาะ คือเลือดหัวใจพร่อง มีอาการทางหัวใจและ สมองเด่นชัด เช่น ใจสั่น ตกใจง่าย นอนไม่หลับ ฝันบ่อย ลืมง่ายเลือดตับพร่อง ชายโครงปวดตื้อๆ มองไม่ชัดเวลากลางคืน (ตาบอดไก่) แขนขาชา มีตะคริว หลักการรักษาเลือดพร่อง และตำรับยาที่ใช้คืออะไร?ใช้หลักการบำรุงและปรับเลือดตำรับยาที่ใช้ได้แก่๑. ซื่อ-อู๋-ทังตัวยาสำคัญคือ สูตี้ ตังกุย ไป๋สาว ชวน-เซวียง๒. ตัง-กุย-ปู่-เสวี่ย-ทัง ตัวยาสำคัญคือ ตังกุย …

ว่าด้วยเรื่อง “เลือดพร่อง” (2) Read More »

ว่าด้วยเรื่อง “เลือดพร่อง” (1)

“เธอดูหน้าตาขาวซีดจัง ควรบำรุงด้วยโสมตังกุยจั้บ”Ž“ผู้หญิงหลังคลอดเสียเลือดมาก ต้องกินยาบำรุงเลือด”Ž“ดิฉันมือเท้าเย็นง่าย เล็บขาวซีด ใจสั่น นอนไม่หลับ หลับแล้วฝันไม่หยุด ไปหาหมอจีน หมอบอกว่าเป็นเพราะเลือด ไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ”Ž“ดิฉันแขนขาชา เป็นตะคริวบ่อย ตาแห้งมองไม่ชัดตอนกลางคืน หมอจีนบอกว่าเป็นเพราะเลือดไปเลี้ยงตับไม่ดีพอ”Žเรื่องของเลือด ในความหมายของแพทย์แผนจีนคืออะไรเลือดคือของเหลวข้นสีแดงที่อยู่ในหลอดเลือด เป็นส่วนประกอบของร่างกายและเป็นตัวหล่อเลี้ยงพื้นฐานให้กับการดำรงอยู่ของชีวิตเลือดจะต้องไหลเวียนคล่อง และไหลอยู่ในหลอดเลือด และตัวเลือดเองต้องเป็นเลือดที่มีคุณภาพ เลือด เกิดได้อย่างไร เลือดที่มีคุณภาพดีเกี่ยวข้องกับอะไรเลือดเกิดจากอาหารที่ได้รับการย่อยดูดซึม และแปรเปลี่ยนเป็นหยิงซี่  และจินเย่ หยิงซี่  เป็นส่วนสุดยอดที่ดีที่สุดของสารอาหารที่เกิดจากการย่อยดูดซึมและกลายเป็นส่วนของเลือดเพื่อนำไปบำรุงเลี้ยงร่างกายจินเย่  คือส่วนของสารน้ำ ของเหลวในร่างกาย ที่สามารถซึมผ่านเข้าสู่หลอดเลือดได้เลือดที่ดีมีคุณภาพมาจากปัจจัยหลายประการ คือ1. อาหารที่กินเข้าไป2. การทำงานหรือพลังของม้ามและกระเพาะ-อาหาร ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการย่อยอาหารและดูดซึมอาหาร รวมทั้งแปรเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นเลือด3. การทำงานของปอด ที่จะทำให้เลือดเป็นเลือดที่สดและสะอาด4. การทำงานของไต ไตมีหน้าที่เก็บจิง  (ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติและการหลั่งสาร คัดหลั่งฮอร์โมน เอนไซม์) ไตสร้างไขกระดูก  (ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง) ดังนั้น คนที่ซีดเนื่องจากเลือดมีปัญหา จึงต้องพิจารณาความผิดปกติของอวัยวะภายในต่างๆ ว่าอะไรเป็นสาเหตุหลัก ความผิดปกติเกี่ยวกับเลือดในทางศาสตร์แพทย์ แผนจีนได้แก่อะไรบ้าง1. ภาวะเลือดพร่อง2. ภาวะเลือดอุดกั้น3. ภาวะเลือดร้อน4. ภาวะเลือดเย็น5. ภาวะเลือดแห้ง6. ภาวะเลือดและพลังพร่อง7. ภาวะพลังพร่องทำให้เลือดอุดกั้น ภาวะเลือดพร่องมีความหมายอย่างไร มีอาการและอาการแสดงออกอย่างไรภาวะเลือดพร่อง เป็นภาวะการขาดเลือด …

ว่าด้วยเรื่อง “เลือดพร่อง” (1) Read More »

3 โรคที่เกี่ยวข้องกับ ทางเดินอาหาร

1. โรคกรดไหลย้อน GERD หมายถึงภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก บางครั้งอาจจะรู้สึกรสเปรี้ยว มีการวิจัยบางชิ้นพบว่า โรคกรดไหลย้อน ที่เกิดจากภาวะตับและกระเพาะอาหารไม่สมดุล(肝胃不和型)(ภาวะแกร่ง实证)มี 71.4 % โรคกรดไหลย้อน ที่เกิดจากภาวะพลังตับอุดกั้นม้ามพร่อง(肝郁脾虚型)(虚实夹杂证)มี 28.6% บ่งบอกว่า โรคกรดไหลย้อนทางแพทย์แผนจีน ไม่ได้มองไปที่การทำงานของกระเพาะอาหาร หรือหูรูดกระเพาะอาหารอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับอวัยวะตับ ถุงน้ำดีและม้ามหรือบางครั้งเกี่ยวข้องกับอวัยวะไตอีกด้วย จึงต้องปรับรักษาสมดุลไปด้วยกัน 2. เรื่องของสิว(痘痘) จมูกและบริเวณรอบๆจมูก คือ อวัยวะม้าม กระเพาะอาหาร ความร้อนชื้น (脾胃湿热证)ภายในอวัยวะดังกล่าว มักทำให้เป็นสิวบริเวณปลายจมูก สิวเป็นๆ หายๆ แห่งหนึ่งยุบอีกแห่งก็โผล่ตลอดเวลา หัวสิวสีเหลืองอักเสบเป็นหนอง หน้ามัน ปากเหม็น ขมในคอ ความอยากอาหารไม่แน่นอน อุจจาระเหนียวถ่ายไม่สุด ลิ้นแดง ฝ้าบนลิ้นเหลือง เหนียว ชีพจรตึงเร็ว สิวบริเวณรอบปาก บ่งบอกถึงกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ สิวบริเวณแก้มข้างซ้าย บ่งบอกถึงอวัยวะตับร้อน เกี่ยว ข้องกับอารมณ์ ความเครียด การสร้างเลือดและการขับพิษของร่างกาย สิวบริเวณแก้มข้างขวา บ่งบอกถึงอวัยวะปอด เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ …

3 โรคที่เกี่ยวข้องกับ ทางเดินอาหาร Read More »

รู้จักและเข้าใจ ก่อนไวรัสร้าย “ทำลายปอด”

ขณะนี้ ทั่วโลกต่างรู้ถึงความร้ายกาจของไวรัสโคโรนา หรือโรคโควิด-19 กันเป็นอย่างดี ซึ่งจากการระบาดครั้งใหญ่นี้ ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกจำนวนมาก โรคโควิด-19 ผู้ติดเชื้อบางคน อาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่บางคนก็ถึงกับเสียชีวิต โดยไวรัสชนิดนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายเมื่อคุณหายใจเอาเชื้อเข้าไป หากมีคนติดเชื้อไอหรือจามใกล้ๆ หรือเมื่อคุณไปจับบริเวณที่มีเชื้อติดอยู่…..ขั้นแรก เชื้อจะแพร่ไปตามเซลล์ที่เยื่อบุคอ ท่อทางเดินหายใจและไปที่ “ปอด” จากนั้นจะเปลี่ยนอวัยวะเหล่านี้ให้กลายเป็น “โรงงานผลิตเชื้อไวรัส” แพร่กระจายไปยังเซลล์ต่างๆในร่างกายเพิ่มอีก จะเห็นได้ว่า เป้าหมายของเชื้อไวรัสคือเข้าไปยังอวัยวะสำคัญของร่างกายอย่าง “ปอด” ซึ่งในมุมมองของแพทย์แผนจีน ปอดมีหน้าที่ควบคุมกำกับบริหารจัดการ ทั้งเลือด พลัง สารน้ำของเหลว และการหายใจ อีกทั้งยังเปรียบเสมือนเป็นลูกพี่ที่คอยปกป้องอวัยวะภายใจทั้งหวงอีกด้วย จมูก เป็นช่องทางการโจมตีจากสิ่งก่อโรคภายนอกเข้าสู่ปอดโดยตรง ปอดที่ปกติจมูกจะโล่ง การรับกลิ่นจะดี แต่ถ้ามีความผิดปกติของปอด จมูกจะแน่น น้ำมูกไหล การรับกลิ่นไม่ดี จมูกบานเวลาหายใจ (หายใจลำบาก หอบหืด) การกระจายพลังของปอด ช่วยในการขับถ่ายอุจจาระ คนที่ปอดร้อนหรือแห้ง การกระจายของเหลวไปยังส่วนต่างๆ ไม่พอหรือติดขัด น้ำในลำไส้ใหญ่จะถูกดูดซึมกลับสู่ร่างกายมากขึ้น ทำให้ท้องผูก คนที่เจ็บคอ คอแห้ง คออักเสบ บางครั้งอาจจะมีอาการท้องผูกร่วมด้วย การที่พลังปอดอ่อนแอจะทำให้เหงื่อออกง่าย เป็นหวัดง่าย เนื่องจากต่อมเหงื่อเปิด พลังเว่ยชี่อ่อนแอ …

รู้จักและเข้าใจ ก่อนไวรัสร้าย “ทำลายปอด” Read More »

“พลังพร่อง” คืออะไร?

บ่อยๆ ที่เรารู้สึกอ่อนเพลีย อ่อนแรง เมื่อยล้า ภายหลังการตรากตรำทำงานมาทั้งวัน อยากจะนอนหลับพักผ่อน พอหลับไปสักงีบ รู้สึกว่ากลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้งแต่มีผู้ป่วยหรือคนบางคน (บางครั้งอาจรู้สึกว่าไม่ใช่ผู้ป่วย) จะมีความรู้สึกเมื่อยล้า อ่อนแรง ไม่ค่อยอยากพูด พูดแล้วไม่มีกำลัง ไปเดินเหินมากหน่อย หรือไปวิ่งออกกำลังกายอาการจะเหนื่อยรุนแรงขึ้น บางครั้งมีอาการตาลาย เวียนศีรษะ ซึ่งมีอาการเป็นประจำทุกวันผู้ป่วยเหล่านี้บางครั้งมาพบแพทย์ด้วยอาการต่างๆ บางครั้งตรวจพบความผิดปกติบ้าง ไม่พบความผิดปกติบ้าง ขึ้นกับความรุนแรงของโรค แพทย์จีนจัดคนกลุ่มนี้เป็นพวกพลังพร่องพลังพร่องคืออะไรพลัง เป็นหยาง เป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญของการทำให้มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางสรีระของอวัยวะภายใน (จั้งฝู่) ของร่างกายเป็นตัวกระตุ้น ขับเคลื่อน ให้ความอบอุ่น ปกป้องอันตรายจากภายนอก ดึงรั้งสารต่างๆ และสารน้ำให้อยู่ในร่างกาย ช่วยการเปลี่ยนแปลงย่อยอาหาร บำรุงเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย การขาดพลังหรือพลังพร่อง จึงทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเสื่อมถอย อวัยวะภายในอ่อนแอ จึงเกิดอาการได้หลายระบบ อาการพลังพร่อง และการตรวจพบความผิดปกติอะไร– คนที่พลังพร่อง จะมีใบหน้าไม่สดใส ไร้ชีวิตชีวา เหนื่อยง่าย พูดไม่มีกำลัง เสียงเบา ไม่ค่อยอยากจะพูด เวลาเดินหรือออกกำลังกายมักจะเหนื่อยมากขึ้น– อาการร่วมอื่นๆ เช่น เวียนศีรษะ ตามัว เหงื่อออกง่าย ตรวจร่างกาย : ตัวลิ้นซีด …

“พลังพร่อง” คืออะไร? Read More »